ประวัติการรักษาเซบเดิร์ม (Sebderm) และผิวติดสเตียรอยด์ (Steroid addiction)

ดีคับ เจอกับฉินอีกแล้ว
บล๊อกเก่า ๆ ฉินลบออกไปแล้วนะ
เวลาเจออะไรใหม่ ๆ ชอบเขียนใหม่เลย 
เข้าเรื่องเลย
หลายคนคงจะสงสัยว่าอะไรคือเซบเดิร์ม 
ทำไมไปหาหมอ หมอชอบบอกว่าเราเป็นเซบเดิร์ม
จากความเข้าใจของฉินนะ ที่รับปรึกษามาตลอด 2 ปีกว่า
และหาหมอมาตลอด 20 กว่าปี
ได้ความว่า เซบเดิร์มมี 2 ประเภท 
คือ เซบเดิร์มแท้ กับเซบเดิร์มเทียม

เซบเดิร์มแท้
คือ คนที่ไม่เคยใช้อะไรที่หน้าเลย ไม่เคยทาครีม ไม่เคยหาหมอรักษาผิวหน้า
แต่เกิดจากสมดุลร่างกายผิดปกติ คือ นอนน้อย เครียด ดื่มน้ำน้อย ไม่ทานผัก ผลไม้
ดื่มน้ำหวานเยอะ เหล้ายา ปลาปิ้งหนัก ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน ชอบทานแต่ขนม นม เนย ของไม่มีประโยชน์ หรืออาหารขยะ
หรือทานอาหารช่วงดึกๆ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดการเสียสมดุล
ก็จะเกิดเป็นเซบเดิร์มขึ้นที่ข้างจมูก หัวคิ้ว คาง รอบปาก หรือช่วง T-Zone นั้นเอง

ส่วนเซบเดิร์มเทียมคือ พวกที่ผิวหนังแข็งแรงปกติ ใช้อะไรก็ได้
แต่พลาดไปใช้ครีมเน็ตที่มีสารอันตราย ทั้งปรอท และสเตียรอยด์
หรือไปทำหน้าแล้วเจอสเตียรอยด์ใส่ขณะทำหน้า
หรือใช้ยาสิว มากเกินไป 
หรือใช้ครีมหน้าขาวใสมากไป
หรือไปแพ้อะไรบางอย่าง แล้วใช้สเตียรอยด์ในการระงับอาการแพ้ ก็ติดสเตียรอยด์กันไป    
กลุ่มนี้เวลาหยุดครีม หรือยาที่มีสเตียรอยด์จะเละมากเหมือนกันในช่วงแรก
แต่พอผิวเค้าซ่อมตัวเองได้ ก็จะกลับมาหน้าปกติคับ แต่อาจจะมีตีกลับมาบ้างเป็นช่วง ๆ 
ขึ้นกับว่าใช้มานานแค่ไหน ไหวตัวทันก็หายเร็ว ช้าหน่อยก็นานหน่อยคับ

โดยของฉินเนี้ย เป็นแบบแรกเลยคับ เซบเดิร์มแท้ ๆ เลย ไม่เคยทาอะไรที่หน้าเลยตั้งแต่เด็ก
ถามว่าเมื่อก่อนฉินทำตัวแบบนี้หรอ ก็ไม่ถึงกับเหล้ายา ปลาปิ้งหรอก 
สมัยประถมก็แค่ไม่ค่อยทานผักเพราะมันขม ส่วนผลไม้ก็ทานบ้าง ตามแต่เด็จแม่จะซื้อมา 
ดื่มน้ำน้อย น้อยมาก ๆ อะ เพราะห้องน้ำที่โรงเรียนสกปรกมาก
คือมันเหม็นมาก ๆ อะ แค่เดินเข้าไปฉี่ก็แสบตา แสบจมูกไปหมด 
เลยคิดว่าดื่มน้ำน้อย ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเข้าบ่อย มาเข้าที่บ้านทีเดียวเลย
แต่คิดผิดถนัด หนู ๆ อย่าทำตามนะ มันทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย
แล้วก็เครียดเรื่องเรียนด้วย เพราะเราหัวช้า ตามเพื่อนไม่ทัน จะโดนครูตีบ่อย ๆ 
แล้วที่บ้านขายข้าวมันไก่ด้วย กินทุกวัน ตามด้วยน้ำอัดลม
เป็นแบบนี้ยาว ๆ มาเลย จนจบม.3
พอเข้า ปวช.เท่านั้นแหละ สิวมาเต็มหน้า
ตอนนั้นก็ยังเฉยๆ นะ ไม่สนใจ แต่เซบเดิร์มของแท้เริ่มมาละ
ข้างจมูก หัวคิ้ว
เป็นขุย ๆ คัน ๆ ขาว ๆ 
เลยไปซื้อผงขัดหน้าพม่ามาขัด 
สรุป… พัง
ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นเซบเดิร์ม คือมีเชื้อยีสต์ที่หน้า เลยให้สเตียรอยด์มาทา
เลยทาสเตียรอยด์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทาตั้งแต่อายุ 14 วนเวียนอยู่กับการหาหมอ ทายาสิวบ้าง สเตียรอยด์บ้าง
ทา ๆ หยุด ๆ กินยาสิวด้วยควบคู่ 
เป็นแบบนี้จนถึงอายุ 29

สิวก็เริ่มประทุขึ้นมาเยอะมาก ๆ กินยาสิวก็เอาไม่อยู่
รู้สึกว่าจะดื้อยาละ เพราะกินมาตลอดแทบจะทุกตัวที่หมอมี
หลัง ๆ กินตัวแรงพวก โรแอค ที่กินแล้วปากแห้ง ตัวแห้ง ปากแตก เลือดออก
แต่กินแล้วหน้าไม่มัน สิวยุบก็เลยกิน
แต่หลัง ๆ ก็เริ่มไม่หาย แถมปากแตกน่ากลัวมาก ร่างกายเริ่มรับไม่ไหว
และมารู้ทีหลังว่ายาตัวนี้ทานมาก ๆ ตับจะมีปัญหา เลยหยุดกิน
พอดีช่วงนั้น แม่ย้ายไปขายข้าวมันไก่ ที่ต่างจังหวัด
แล้วมีคนแถวบ้านเค้าแนะนำครีมให้ บอกว่าเป็นสมุนไพร
มี 2 อย่าง คือเซรั่มน้ำนม กับครีมขมิ้นสด (มันคือครีมในเน็ต)
ใช้ไป 7 วัน หน้าใสมาก สิวหาย หน้าขาว


เลยใช้มาเรื่อย ๆ  2 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งแบบขาดความชุ่มชื้น
เลยหยุดใช้ หันไปใช้ของธรรดาที่ขายตามเคาร์เตอร์บ้าง แต่ปรากฎว่า
“สิว” “ผื่น” มาครบเลย มาแบบเต็มหน้าเลย
เลยกลับไปใช้ตัวเซรั่มน้ำนมของเก่า ปรากฎว่าผื่นยุบ เลยรู้เลยว่ามีสเตียรอยด์
แต่สิวไม่ยุบละ กลับขึ้นไม่หยุด
เลยหาวิธีธรรมชาติดู ก็มีคนแนะนำให้ทานผัก ผลไม้ ขับพิษ
โดยต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นพิษ ซึ่งนั้นก็คือสเตียรอยด์ด้วย
พอหยุดทุกอย่าง 2เดือนผลที่ได้เลยเป็นแบบนี้
ตอนนั้นปี 2554 ทานผัก ผลไม้อยู่ได้ 6 เดือน สิวเริ่มลด แต่ผื่นยังครบ


ตอนนั้นเครียดมากไม่รู้ทำไง เลยเปิด google ดู ก็ไปเจอบทความหนึ่ง
ตอนนั้นปี 2555 ช่วงต้นปี
เค้าบอกว่าเค้าไปรักษาแบบแพทย์ทางเลือก
เป็นการรักษาแบบโฮมีโอ
เลยลองไปดู รักษาไปเกือบปี
เสียไปกว่า 3 หมื่น
ทำท่าจะดี


แต่แล้ว ช่วงสิ้นปีไม่สบายเท่านั้นแหละ กลับมาหนักเชียว


คุณหมอบอกว่า คงต้องทาสเตียรอยด์แล้วละ
เลยรู้ละว่า วิธีนี้ไม่ใช่ละ

หลังจากนั้นก็มีน้องคนหนึ่งแนะนำว่า ไม่ลองไปตรวจภูมิแพ้ผิวหนังดู
เลยไปหาคลินิกแถวประชาชื่น เห็นว่าคุณหมอจบจากเมกา
คุณหมอบอกว่า ที่นี่ไม่รับปรึกษาเซบเดิร์ม แต่เท่าที่ดูเหมือนจะแพ้อะไรบางอย่าง
เลยจับตรวจหาสารที่แพ้ให้
สรุป ไม่เจออะไร เสียไป 3 พันกว่าบาท ค่ายาอีกเป็นพัน
คุณหมอเลยบอกว่า งั้นเอา Protopic ไปทา
หมอบอกว่าให้ทาเช้าเย็น 7 วัน
แล้วก็เหลือแค่เย็น 7 วัน แล้วลดวันเว้นวัน อาทิตย์ละ 2 วันแบบนี้ไป จนหยุดไปเลย
ไปหาอยู่ 3 ครั้ง ก็เริ่มดีขึ้น เพราะ Protopic มันกดอาการไว้เหมือนสเตียรอยด์
แต่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่มารู้ทีหลังว่า ตัวนี้ทามาก ๆ ไม่ดี ผิวเสียได้เหมือนกัน
ที่เมืองนอกเค้าก็ไม่ให้ใช้นาน ๆ เกิน 6 เดือน เพราะมีผลเสียกับผิว

http://www.webmd.com/drugs/2/drug-20335/protopic-top/details

http://www.drugs.com/sfx/protopic-side-effects.html

เลยหยุดไปเกือบ ๆ เดือนผื่นเริ่มมา แล้วก็ได้มาเจอกับ พลาสมาเย็น
มีน้องคนเดิม แนะนำ
ตอนนั้นปี 2556 ช่วงก.ค.
เลยลองไปคุยดู พอดีเค้าเปิดรับเคสศึกษา ทำฟรี เลยไปลองทำดู
พลาสมาเย็นเป็นการใช้ไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นชั้นผิวให้เกิดการแบ่งตัว
ตรงข้ามกับสเตียรอยด์ ที่ไปกดการแบ่งตัวของชั้นผิว
แต่มันจะกระตุ้นได้ชั่วคราวเท่านั้น
ต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าหน้าของเราจะกลับมาปกติเอง
หรืออยู่ได้ด้วยตัวเอง
แต่ข้อเสียคือ ถ้าผิวคุณต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายปี ก็ต้องทำหลายปี
ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ
และข้อเสียอีกอย่างของมันคือ มันเปิดผิว เพื่อให้ครีม หรือเซรั่มลงได้ลึกมากขึ้น
แต่นั่นก็หมายถึงว่า ถ้าไปเจอสิ่งที่แพ้ ติดเชื้อเพิ่ม มันก็จะลงได้ลึกเช่นเดียวกัน
ส่งผลให้หลาย ๆ คนไมประสบความสำเร็จกับวิธีนี้
แต่โชคดีที่ฉินไม่เจอในช่วงแรก
หลังจากที่ทำไป 6 เดือน ปรากฎว่าดีขึ้นวะ
ดีขึ้นเยอะมาก มากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่เคยรู้สึกหน้าดีขนาดนี้มานานมากละ
พอผื่นหายหมด เลยตัดสินใจไปยิงหลุมสิวเพิ่ม
แม้จะรู้ว่า ยิงแล้วผิวมันจะอ่อนแอ แต่ก็มั่นใจว่า พลาสมาเย็นจะทำให้ผิวไม่กลับไปอ่อนแอ 
แต่คิดผิด
(อย่าไปทำนะ เพราะส่วนใหญ่ใช้เลเซอร์ที่คลื่นไม่ดี
ทำลายผิวชั้นบน แต่ตัวคลื่นดีก็มีคับ เท่าที่รู้ 
แต่จะแพงมากเท่านั้นเอง คือไม่ทำลายผิวชั้นบน 
ยิงลึกถึงผิวชั้นล่าง แต่แพงมาก ครั้งละ 20,000 บาท
แต่ก็อีกนั้นแหละ ถ้าผิวยังไม่แข็งแรงอย่าเพิ่งดีกว่า
กลัวจะเสียเงิน แถมเสียหน้าอีก)
ยิงช่วง ม.ค.-เม.ย. 57

ทุกครั้งที่ยิงผื่นจะขึ้น
แต่พอทำพลาสมาเย็นไปสักพัก ผื่นก็จะหายไป
แต่…หลังจากที่ยิงไป 4 ครั้ง
ครั้งที่ 4 ยิงหนักมาก
ผลปรากฎว่า ผื่นมาเยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก
คิดว่า เดี๋ยวทำพลาสมาเย็นก็น่าจะหาย
แต่ไม่ใช่…
คราวนี้ผื่นมา ๆ ไป ๆ หายไปสักพัก ก็กลับมาเป็นอีก
ทนทำไป 4 เดือน ผิวเริ่มแย่ ผื่นเริ่มมาหนักขึ้น
จากที่ไม่เคยขึ้นหนักขนาดนี้ก็ขึ้น
ที่คลินิกพลาสมาเย็นบอกว่า สงสัยจะแพ้อะไรบางอย่าง
ให้เรากลับไปหา
เราก็หา แทบจะล้างห้องนอนใหม่หมดเลย ก็ไม่หาย
นึกขึ้นได้ว่า หรือว่าเราจะติดยีสต์ เลยไปเอาไนโซรัล ครีมมาทา
สรุปว่า ยุบ
ตอนนี้รู้ละว่าเป็นเชื้อยีสต์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อรา
แต่ปัญหาใหญ่คือ ไอ้เชื้อบ้าเนี้ย มันมีอยู่ทุกที่ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู ในแอร์ หรือในตัวเราเองก็มีเชื้อพวกนี้อยู่แล้ว
ตราบใดที่หน้ายังไม่แข็งแรง มันจะเห่อตลอด
ช่วงนั้นก็ทาไป ทำพลาสมาเย็นไป ก็ไม่ค่อยดี
พอทำเสร็จ กลับมาก็เห่อ เพราะมันเปิดผิว
เลยหยุดไปเลย ทาไนโซรัลอย่างเดียว 2 เดือน
แล้วก็ลองหยุด สรุป เห่อ
หมอบอกว่า ไนโซรัลทานาน ๆ ทำให้ผิวเสียได้ 
และสามารถทำให้ราดื้อยาได้
เลยลองไปทำพลาสมาเย็นอีกสักตั้ง
ผลคือ เละไม่เป็นท่า

เลยหยุดเลย 
รู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ตัวเองแล้ว
มีคำถามมากมายในหัวว่า ทำไมทำตั้งนานแล้วผิวยังไม่แข็งแรง
ทำไมรอบแรกหาย แล้วรอบนี้ไม่หาย
หน้ากูมีปัญหาหรอ ใช่หรอ 
แต่ก็เอาเถอะ เพราะคิดว่าคงไม่ไปทำต่อแล้ว

แล้วก็พอดีช่วงนั้นกลับบ้านต่างจังหวัด
คนแถวบ้านเค้าเห็นก็ถามว่าเป็นอะไร
เราก็บอกว่าติดเชื้อรา
เค้าบอกว่า เมื่อก่อนเค้าก็เป็น เป็นทั้งตัวเลย กับเพื่อนอีก 2 คน
ไปรักษากับหมอ หมอก็ให้กินยาฆ่าเชื้อราตลอด 
ซึ่งยาพวกนี้มีผลต่อตับ
แต่พวกเค้าคงไม่รู้ว่าระหว่างกินยา 
ห้ามทานเหล้า เพราะจะยิ่งทำให้ตับพัง
พวกนี้ก็กินมาตลอดเป็นปี สรุป เพื่อนเค้า 2 คนตายเนื่องจากตับวาย
ตัวเค้าก็ไม่กล้ากินยาอีก แต่มีคนแนะนำให้เค้าไปแช่น้ำทะเล
เค้าก็ไปแช่ทุกวัน เป็นเดือน ๆ สรุปว่าเค้าหาย
เค้าก็มาแนะนำฉิน
ฉินก็เลยลองไปเล่นดู ยุบตั้งแต่ครั้งแรกเลยคับ คือแบบดีอะ
ดีงามมาก
ตอนแรกก็ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ก็รู้สึกว่าจะไม่พอ
ไปเจอบทความหนึ่งของเมืองนอก 
เค้าบอกว่าให้ไปแช่ทุกวัน ๆ ละ 20 นาที

Recent in vivo and in vitro studies lend credence to the common practice of applying seawater to inflamed skin. In acute eruptions of atopic dermatitis, seawater exhibited antipruritic effects as evaluated by a significant reduction of visual analogue scores for itching (1). In the setting of irritant contact dermatitis, Pacific ocean water compresses significantly decreased transepidermal water loss (TEWL) and increased skin capacitance compared with the deionized water control when the compresses were applied for 20 minutes at a time for several times over the course of two weeks (5). TEWL measures water barrier disruption, while capacitance measures stratum corneum water content. Thus, the results provide evidence for seawater’s ability to inhibit skin barrier disruption and inhibit stratum corneum dryness in irritant contact dermatitis. Seawater has also been shown to be of benefit in psoriasis. In a randomized, double-blinded, controlled study, Dead Sea
1 salt baths, containing a high mineral composition, were administered daily at 358
C for 20 minutes for three weeks. Relative to the distilled water control, Dead Sea salt baths significantly decreased psoriasis area and severity index (PASI) scores in psoriasis vulgaris patients immediately after treatment, with therapeutic effects still significant one month after the treatment ended. However, there was no statistical difference in PASI scores and patient subjective evaluations between the treatment group that received Dead Sea salt baths and the group that received common salt baths [mostly sodium chloride (NaCl)] of the same osmolality.
While this study supports seawater’s therapeutic effects, it suggests that osmolality, instead of ion character, may act as the active component in seawater therapy



ให้แฟนเพจ No Sebderm ช่วยแปลได้ความว่า 
การศึกษาในหลอดทดลองและในสิ่งมีชีวิต
มีหลักฐานที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการใช้น้ำทะเลบำบัดผิวที่อักเสบ
ในกรณีของผิวอักเสบร้ายแรง
น้ำทะเลช่วยให้ผลในการรักษาอาการคันที่ลดลดอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีการรักษาผิวอักเสบที่ระคายเคืองด้วยการ
ประคบด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL)
และเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ (capacitance)
เมื่อเทียบกับใช้น้ำที่ได้รับการขจัดอิออนออกไป
เมื่อประคบไว้ 20 นาทีต่อครั้ง หลาย ๆ ครั้งเป็นเวลาสองสัปดาห์ TEWL
ใช้วัดการหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ
และ capacitance ใช้วัดปริมาณน้ำที่ชั้นบนสุดของหนังกำพร้า
ผลการศึกษานี้จึงให้หลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของน้ำทะเล
ในการยับยั้งการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง และยับยั้งความแห้งที่ชั้นบนของหนังกำพร้า
ในกรณีของผิวอักเสบที่ระคายเคือง
และยังพบว่าน้ำทะเลมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ในการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมโดยไม่ให้ผู้ป่วยที่สุ่มมาทราบว่าตนเองได้ยาชนิดใด
โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำจากทะเลเดดซีที่มีแร่ธาตุสูงที่ 358 C เป็นเวลา 20 นาที
เป็นเวลาสามสัปดาห์ เมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
ปรากฎว่าน้ำจากทะเลเดดซีช่วยลดบริเวณที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงิน
และคะแนนความรุนแรงของโรค (PASI) ลดลงทันทีที่ได้รับการรักษา
โดยผลการรักษายังคงอยู่เมื่อหยุดรักษาแล้วหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของคะแนน PASI
ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำจากทะเลเดดซีและกลุ่มที่ได้รับน้ำทะเลทั่วไป
การศึกษานี้สนับสนุนผลของการใช้น้ำทะเลเพื่อการบำบัด
และแสดงว่าองค์ประกอบที่ช่วยกักเก็บน้ำในน้ำทะเล
มากกว่าจะเป็นลักษณะของปะจุในน้ำ ที่เป็นตัวช่วยรักษา
ขอบคุณแฟนเพจด้วยครับที่ช่วยแปล

อ้างอิงจาก https://aucops.files.wordpress.com/2013/04/handbook-of-cosmetic-science-and-technology-third-edition.pdf


เลยไปบ่อยหน่อย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
แล้วก็ไปกรอกน้ำทะเลใส่ขวดมาล้างหน้าที่บ้านทุกวัน
เช้า 10 นาที เย็น 10 นาที
โชคดีที่จังหวัดที่อยู่มีทะเล ห่างไปประมาณ 15 กิโล
ขี่มอไซด์ไปแปปเดียวก็ถึง
และโชคดีอีกตรงที่ว่า หาดนี้คนน้อย ทะเลใส เรือก็แทบไม่มี
ไม่ต้องกลัวน้ำสกปรกเลย




ถ้าใครสนใจจะใช้วิธีนี้ก็เลือกหาดหน่อยนะคับ
ประเภทมีขี้ม้า เยี่ยวม้ากองเต็มหน้าหาดก็ไม่ไหวนะ
หรือเรือที่ปล่อยน้ำมันออกมาเยอะ ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
นอกจากจะไม่หายแล้ว ยังได้ผื่นกลับมาอีกแน่ ๆ

ผลการรักษาโดยใช้น้ำทะเลบำบัดเป็นเวลา 3 เดือนคือ ก.ค.- ก.ย.
ได้ผลดังนี้


ส่วนตัวช่วยที่ใช้ในการบำรุงผิวหน้าก็มี 2 ตัวนี้คับ


ตัว Biotherm Life Plankton เป็นแบคทีเรียที่ดี
ปกติผิวที่อ่อนแอ หรือผิวบาง จะมีแบคทีเรียที่ไม่ดีอยู่เยอะ
การใช้แบคทีเรียที่ดีช่วย จะทำให้สมดุลของหน้าดีขึ้น
มีงานวิจัยออกมาว่าตัวนี้สามารถลดผดผื่นได้ในระดับหนึ่ง
ช่วยลดอักเสบได้

ส่วน Ezerra ก็เป็นตัวลดผื่นเด็ก สามารถลดอักเสบได้
หมอเคยบอกว่า เราต้องหาตัวลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
ไม่จำเป็นต้องใช้แบบฉินก็ได้นะ เอาที่ผิวเราชอบ 
เพราะแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน
เจอหลายคนเหมือนกันว่าใช้ 2 ตัวนี้แล้วแพ้
ก็ต้องหาตัวอื่นช่วยแทน

ส่วนคนที่อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ทำไว้ให้แล้วคับ ลองเข้าไปดูได้
http://chinachinychin.blogspot.com/2015/01/blog-post.html
อาจไม่ครบทุกตัว แต่ก็หาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาให้ได้แล้วคับ
ส่วนคนที่อยากหยุดสเตียรอยด์แนะนำให้อ่านอันนี้
เป็นแนวทางในการดูแลตัวเองหลังหยุดสเตียรอยด์
http://chinachinychin.blogspot.com/2014/03/blog-post_4.html

และใช้ไปสักระยะหนึ่ง 5-6 เดือน แล้วค่อย ๆ หยุดไป
เช่นจากทาเช้าเย็น ก็อาจจะเหลือแค่ตอนเย็นต่ออีก 5-6 เดือน
ผิวเวลามันไม่อักเสบนาน ๆ มันจะค่อย ๆ ซ่อมตัวเอง
ระยะเวลาที่ผิวจะซ่อมตัวเองคือ 30 วัน โดยประมาณ
ทุก 30 วันผิวถึงจะสร้างใหม่ ถ้าไม่ดี ก็ต้องรออีก 30 วัน
ยิ่งถ้ามันอักเสบบ่อย ๆ ผิวก็จะไม่ซ่อม หรือจะช้า คือใช้เวลานานกว่า 30 วันกว่าจะสร้างใหม่
การขัดหน้าแรง ๆ ทาครีมแรง ๆ ก็จะทำให้ผิวเสียได้ อย่าไปยุ่งมันดีที่สุด
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กว่าผิวเราจะกลับมาแข็งแรงได้จึงใช้เวลาเป็นปี ๆ
พอหน้าแข็งแรงแล้วค่อย ๆ หาตัวเสริมความแข็งแรงให้ผิว

หลังจากนี้ฉินก็คงจะใช้วิธีนี้บำบัดไปเรื่อย ๆ ละคับ
แนวโน้มมาดีมาก
จากที่ช่วงแรกที่เล่นน้ำทะเล ผื่นจะมาทุก 3 วัน
แต่ทุกวันนี้ผื่นไม่ค่อยมาแล้ว น้อยมาก ๆ ถึงจะขึ้น และขึ้นก็น้อยมาก ๆ อีกเช่นกัน
ทำให้รู้ละว่ามาถูกทางแล้ว

ส่วนเรื่องดูแลตัวเองฉินยังดูแลตัวเองดีเหมือนเดิม
คือนอน 4 ทุ่ม
ทานผัก ผลไม้ทุกวัน ให้ได้ 5 สี สลับ ๆ กันไป
ฟักทอง มะระ ตำลึง แครอท มะเขือเทศ บล๊อคลอรี่ ผักบุ้ง กระเทียม
ยอดฟักทอง ยอดมะระ ถั่วพลู 
น้ำบัวบก น้ำย่านาง น้ำอัญชัน น้ำทับทิม
กล้วย แอปเปิ้ล สัปรด 

(หาผัก ผลไม้ปลอดสารพิษด้วยก็ดีนะคับ
หรือไม่ก็หาผัก ผลไม้ตามฤดูกาลก็จะดี 
เลี่ยงผักที่ใช้ยาฆ่าแมลงเยอะๆ เช่นคะน้า ผักกาดขาว
เพราะผัก ผลไม้สมัยนี้ยาฆ่าแมลงเยอะ)
ไข่ ปลา หมู ไก่ งดอาหารทะเล เพราะรู้สึกว่าเวลาทานแล้วผื่นจะขึ้น
ตื่น 6 โมงเช้า มาดื่มน้ำไม่เย็น 1 แก้วรวด 
แล้วก็เข้าห้องน้ำขับถ่ายให้เป็นปกติ
ถ้ามีเวลาก็ตากแดดตอนเช้าบ้างสัก 15 นาที
ดื่มน้ำไม่เย็นเรื่อย ๆ ให้ได้วันละ 8-10 แก้ว
ผัก ผลไม้เหล่านี้จะมีสาร antioxidant ที่สำคัญในการซ่อมผิว
และช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการซ่อมผิวคือช่วง 4 ทุ่ม – ตี 4 
เพราะร่างกายจะหลั่งสาร growth hormone และ melatonin ออกมาเพื่อช่วยในการซ่อมผิว ยิ่งพักผ่อนเยอะ ผิวยิ่งซ่อมตัวเองได้ไว
ทำแบบนี้มา 2-3 ปีแล้ว
ชดเชยจากที่เราไม่เคยดูแลตัวเองมาตลอด 
ตอนนี้ก็อายุ 37 แล้ว
อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน 
ไม่สายไป หากคิดจะเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง


เรื่องที่เขียนทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว
ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีผู้ใด
ทำขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทานให้คนที่อยากหยุดสเตียรอยด์ได้ศึกษา
ให้ตระหนักถึงการใช้สเตียรอยด์แบบผิดวิธี เป็นระยะเวลานาน ๆ
ใส่ใจดูแลสุขภาพ
และเป็นแนวทางในการรักษาแบบเสียเงินน้อยที่สุด
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณครับ

ส่วนคนที่สนใจสามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ที่เพจ No Sebderm
https://www.facebook.com/No-Sebderm-463320630422857/timeline/

ส่วนคนที่สนใจในน้ำทะเล ให้ติดต่อที่เพจ Sea Water น้ำทะเลบำบัด
https://www.facebook.com/Sea-Water-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-1123563914341770/























 

1 thoughts on “ประวัติการรักษาเซบเดิร์ม (Sebderm) และผิวติดสเตียรอยด์ (Steroid addiction)

ใส่ความเห็น