ผิวติดสเตียรอยด์กับเชื้อรา

(บอกไว้ก่อนว่าเขียนตามความเข้าใจจากการสอบถามหมอ และผู้ที่เรียนมาทางด้านจุลชีวะวิทยา

ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ บทความนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นวิทยาทาน

เพื่อการดูแลตัวเองสำหรับคนที่ติดเชื้อรา)

ปัญหาใหญ่ของคนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์ประมาณ 70% คือ ติดเชื้อยีสต์ กับเชื้อรา

ซึ่งจริง ๆ แล้ว 2 ตัวนี้ก็คือรานั่นแหละ แค่คนละสายพันธ์ ยีสต์คือเซลล์เดียว ราคือหลายเซลล์
หากไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ สามารถไปให้หมอขูดสะเก็ดตรวจได้ตาม รพ.แผนกผิวหนังได้เลยคับ

คำถามแรก มันติดได้ไง มันติดจากอะไร …

คำตอบคือ มันมีอยู่ทุกที่ ในอากาศ ในห้องนอน หรือแม้แต่ในตัวเราเอง

ปกติแล้ว ผิวหนังคนเราจะมีเชื้อราเจ้าถิ่น ควบคู่กับแบคทีเรียที่ดี ที่มันจะคอยต้านกันอยู่

และจะคอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแปลกปลอมเข้ามาในผิว

แบคทีเรียที่ดีก็จะคุมไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตไปจนเกินไป

และถ้าผิวปกติ ราจะไม่ก่อปัญหาใด ๆ ให้กับผิว

คนปกติที่ร่างกายเข็งแรง เวลาเหงื่อออก จะหลั่งสารตัวหนึ่งที่แรกว่า แลคติก

เพื่อยั้บยั้งการเจริญเติบโตของรา

เพราะฉะนั้น เวลาร่างกายเราภูมิตก หรือร่างกายอ่อนแอ สารตัวนี้จะลดลง แบคทีเรียที่ดีก็ลดลง บางคนถึงได้มีผื่นขึ้นเวลาป่วยไข้ หรือเวลามีประจำเดือน

คำถามต่อมาคือ ทำไมเราถึงภูมิตก

  1. นอนดึก
  2. ไม่ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ หรือทานไม่บ่อยเพียงพอ ทานไม่หลากหลาย ไม่ครบ 5 สี
  3. ชอบทานพวกของทอด ของมัน ขนมปัง ของหวาน
    4. ดื่มเหล้า แอลกอฮอลล์ต่าง ๆ เป็นประจำ ปาร์ตี้หนักบ่อย ๆ
  4. 5. ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า หรือดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ดื่มแต่น้ำหวาน หรือชา กาแฟ
  5. 6. เครียดเกินไป ความเครียดมักจะทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล ส่งผลถึงผิวได้ด้วยเหมือนกันในบางคน

สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ อาหารไม่มีประโยชน์ที่เราทานเข้าไป ส่งผลให้ผิวเราอ่อนแอ

และก่อให้เกิดต่อมไขมันทำงานหนักผิดปกติ

ถ้าสังเกตุดี ๆ เชื้อรามักจะชอบขึ้นตามที่มีต่อมไขมันเยอะ ๆ เช่นทีโซนของหน้า หน้าผาก จมูก ปาก คาง หน้าอก แผ่นหลัง และบนหนังศรีษะที่มักจะชึ้นเป็นที่แรก ๆ ของร่างกายแต่เราไม่ค่อยใส่ใจ

จนมันลามลงหน้า คนที่ชอบสระผมตอนกลางคืน แล้วหัวเปียก ๆ นอน

มักจะเกิดเชื้อราได้ง่ายที่สุด เพราะมีครบทั้งความชื้น อากาศ อาหาร

และที่สำคัญ มันไม่ค่อยโดนแสงแดด เพราะผมบัง

เชื้อราจะไปกินน้ำมันบนผิวหนัง

มีการสันนิฐานกันว่า คนที่ติดเชื้อราได้ง่าย เวลาอ่อนแอมักจะหลั่งน้ำมันชนิดที่ราชอบ

ทำให้บางคนเป็น และบางคนไม่เป็น แม้การกินอยู่เหมือนกันทุกอย่าง

เมื่ออาหารพร้อม อากาศพร้อม รามันจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิที่ราจะเจริญเติบโตได้ดีคือ 25-37 องศา และเจริญเติบโตเต็มที่โดยใช้เวลาแค่ 6-9 ชม.

(จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเช้า ๆ ไม่เป็นไร แต่พอตกเย็น กลับมาผื่นขึ้นเต็ม)

ซึ่งนั่นก็คือหมายความว่า ร่างกายเราเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของรา

พอมันเริ่มขยายตัว ผิวหนังเราจะเริ่มอักเสบ แดง คัน บางคนเป็นวงแดง ๆ

บางคนเป็นวงขาวๆ ลอกเป็นขุย หรือที่เรียกว่ากลากเกลื้อน

ลำดับต่อมาคือ หลังจากเป็นเชื้อราแล้วควรรักษาให้ถูกจุด

แต่ที่เห็นส่วนใหญ่คือรักษาที่ปลายเหตุ นั่นคือการทาสเตียรอยด์

การทาสเตียรอยด์จะทำให้ผิวหนังที่มันอักเสบ สงบลง ผื่นยุบ

แต่ปัญหาคือ รายังไม่ตาย มันก็ยังอยู่สบายดีบนหน้าเรา

แต่พอหยุดทา ผิวหนังก็อักเสบอีก ก็ทาอีก

ข้อดีของสเตียรอยด์คือมันลดอาการอักเสบได้แบบเฉียบพลัน

แต่ข้อเสียคือมันกดการแบ่งเซลล์ผิว

โดยปกติคนเราจะแบ่งเซลล์ผิวทุก 3-4 อาทิตย์ เพื่อให้ผิวไม่บาง และเพื่อให้ผิวดูสดใสอยู่เสมอ แต่ถ้ามันไม่มีการแบ่งตัว ผิวจะเริ่มบาง

พอบางมาก ๆ สเตียรอยด์เดิมที่ใช้ก็จะกดไม่อยู่

ก็ต้องเปลี่ยนตัวยาให้แรงขึ้น ทำให้ผิวยิ่งเสียมากขึ้น

พอหยุด ก็จะเกิดการอักเสบ จะมีทั้งผื่นสเตียรอยด์ ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราปน ๆ กันไป

พอเข้าใจละเนอะ เอาคร่าว ๆ ก็พอ

คราวนี้จะมาพูดถึงดูแลตัวเองเบื้องต้นดีกว่า

วันนี้จะมาพูด 2 วิธีคือ วิธีธรรมชาติ กับวิธีใช้ยา

เรามาดูวิธีธรรมชาติกัน

  1. น้ำทะเล ที่เมืองนอกมีการวิจัยออกมาว่า น้ำทะเลสามารถลดการอักเสบของผิวได้

มีหลักฐานที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการใช้น้ำทะเลบำบัดผิวที่อักเสบ
ในกรณีของผิวอักเสบร้ายแรง
น้ำทะเลช่วยให้ผลในการรักษาอาการคันที่ลดลดอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีการรักษาผิวอักเสบที่ระคายเคืองด้วยการ
ประคบด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL)
และเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ (capacitance)
เมื่อเทียบกับใช้น้ำที่ได้รับการขจัดอิออนออกไป
เมื่อประคบไว้ 20 นาทีต่อครั้ง หลาย ๆ ครั้งเป็นเวลาสองสัปดาห์ TEWL
ใช้วัดการหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ
และ capacitance ใช้วัดปริมาณน้ำที่ชั้นบนสุดของหนังกำพร้า
ผลการศึกษานี้จึงให้หลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของน้ำทะเล
ในการยับยั้งการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง และยับยั้งความแห้งที่ชั้นบนของหนังกำพร้า
ในกรณีของผิวอักเสบที่ระคายเคือง
และยังพบว่าน้ำทะเลมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ในการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมโดยไม่ให้ผู้ป่วยที่สุ่มมาทราบว่าตนเองได้ยาชนิดใด
โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำจากทะเลเดดซีที่มีแร่ธาตุสูงที่ 358 C เป็นเวลา 20 นาที
เป็นเวลาสามสัปดาห์ เมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
ปรากฎว่าน้ำจากทะเลเดดซีช่วยลดบริเวณที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงิน
และคะแนนความรุนแรงของโรค (PASI) ลดลงทันทีที่ได้รับการรักษา
โดยผลการรักษายังคงอยู่เมื่อหยุดรักษาแล้วหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของคะแนน PASI
ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำจากทะเลเดดซีและกลุ่มที่ได้รับน้ำทะเลทั่วไป

การศึกษานี้สนับสนุนผลของการใช้น้ำทะเลเพื่อการบำบัด
และแสดงว่าองค์ประกอบที่ช่วยกักเก็บน้ำในน้ำทะเล
มากกว่าจะเป็นลักษณะของปะจุในน้ำ ที่เป็นตัวช่วยรักษา
ขอบคุณแฟนเพจด้วยครับที่ช่วยแปล

อ้างอิงจาก https://aucops.files.wordpress.com/2013/04/handbook-of-cosmetic-science-and-technology-third-edition.pdf

นอกจากมันจะลดอักเสบได้ มันยังสามารถฆ่าราได้

มีการสันนิฐานว่า เพราะน้ำในทะเลนั้นข้มข้นมาก ๆ เวลาที่แช่น้ำทะเล

จะเกิดการถ่ายเทน้ำระหว่างผิว ทำให้น้ำในราถูกดึงออก ทำให้มันตาย

จริงเท็จแค่ไหน ไม่แน่ใจนะคับ แต่ลองมาแล้ว เห็นผลสุด ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกกันเลยทีเดียว

ช่วงแรกอาจจะต้องไปบ่อยหน่อย เพราะผิวยังไม่แข็งแรง แม้ของเก่าตายไป

ของใหม่ก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ คือไปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง และไปตักน้ำทะเลกลับมาล้างหน้าด้วย

พอเริ่มดีขึ้น ก็ลดเหลือไปแช่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง อาทิตย์ละครั้ง 2 อาทิตย์ครั้ง จนไม่ต้องไป

แค่ล้างหน้าด้วยน้ำทะเลก็พอ

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่อยู่ใกล้ทะเล และต้องเป็นทะเลที่สะอาดด้วย

หาดที่มีโรงงาน หรือขยะเยอะ ๆ ไม่แนะนำนะ อาจได้โรคกลับมาเพิ่ม

และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้น้ำทะเลด้วย ซึ่งไม่ค่อยมี แต่ก็มี

อันนี้รูปฉินเอง เป็นการใช้น้ำทะเลบำบัดเป็นเวลา 6 เดือน ดูประวัติเพิ่มเติมได้ที่ http://chinachinychin.blogspot.com/2015/10/sebderm-steroid-addiction_6.html

ส่วนคนที่ถามว่า ใช้เกลือละลายน้ำได้ไหม คำตอบคือได้ แต่อาจได้ผลดีไม่เท่าน้ำทะเล

อาจเพราะน้ำทะเลมีพวกแพลงตอน สาหร่ายทะเล และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผิว

แต่พอเอาไปตากแดดจนเหลือแต่เกลือ คุณค่าบางอย่างอาจจะหายไป

แต่ราก็ไม่ชอบเกลืออยู่ดี ดังนั้นก็ใช้ได้

วิธีคือ เอาเกลือทะเล(เกลือที่ทำกับข้าวนิแหละ) ที่ไม่ผสม ไอโอดีน ในห้างจะมีขาย

เอามาละลายน้ำ โดยอาจจะใช้เกลือ 3 ช้อน น้ำดื่ม 10 ช้อน ผสมจนมันละลาย

แล้วใช้สำลีแผ่น ชุบน้ำเกลือ มาร์คหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วค่อยไปล้างหน้าออก

ส่วนถ้าเป็นที่หัว หรือที่ตัว ที่หลัง จะแนะนำให้ใช้เกลือถูกตรงบริเวณที่เป็นรา

มันจะทำให้ราอ่อนแอลง และเซลล์ผิวที่มีราเกาะอยู่ก็จะหลุดไปด้วยเวลาเกลือไปถูมันออก

ถือเป็นการสคลัปผิวเบา ๆ อย่าถูแรง

และไม่ค่อยแนะนำให้ใช้กับหน้า เพราะผิวหน้าบาง อาจเกิดการอักเสบจากคมของผลึกเกลือได้

วิธีนี้ก็ทำได้ทุกวัน จนกว่าราจะหายไป

อันนี้คือเชื้อราบนหลัง น้องเค้าไปหาหมอแล้วขูดสะเก็ดไปตรวจ
พบว่ามีเชื้อรา ตอนนี้กำลังทดลองใช้เกลืออยู่

  1. กระเทียม เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าในตัวของกระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ

พวกแบคทีเรีย และเชื้อราชนิดต่าง ๆ  แม้เชื้อรานั้นจะดื้อยาแล้วก็ตาม

ดุข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/allium.html

วิธีคือปอกเปลือกกระเทียมออก จะใช้กระเทียมไทยเม็ดเล็ก ๆ ก็ได้ หรือกระเทียมจีนเม็ดใหญ่ๆ

ถ้ากระเทียมไทยจะออกฤทธิ์แรงกว่า แสบร้อนกว่า

กระเทียมจีนจะไม่ค่อยแสบเท่าไหร่ แต่ก็ออกฤทธิ์น้อยกว่า

หั่นเป็นแผ่น ๆ หลังล้างหน้า เอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อรา ทิ้งไว้ 5 นาที  แล้วค่อยล้างออก

อย่าทิ้งนานกว่านั้น เพราะผิวอาจจะไหม้ได้ และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้ง่าย

ถ้าจะเทสครั้งแรกให้เทส 1-2 นาทีก่อน และรอดูอาการ 3 วัน

หากมีอาการลอกออก แล้วผิวกลับมาเป็นปกติก็แสดงว่าใช้ได้
เพราะผิวที่ลอกออก คือราที่หลุดออกไปด้วย

ปล.วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่แพ้กระเทียม และอย่าทานานเกิน 5 นาที มีคนที่หน้าไหม้มาแล้ว

  1. มะกรูด เนื่องจากมะกรูดมีฤทธิ์ต้านราได้พอ ๆ กับกระเทียม

คนสมัยก่อนมักจะเอามาถูตรงบริเวณที่เป็นเชื้อรา หรือเอามาสระผม

https://www.doctor.or.th/article/detail/10914

หรือบางคนก็เอาน้ำมะกรูดมาขัดเล็บที่มีเชื้อราก็ทำให้ราดีขึ้นได้

ส่วนตัวเอามาทำเป็นแชมพูไว้สระผม เพราะราที่หัวดื้อยาหมดแล้ว

วิธีทำก็ง่าย ๆ คือเอามะกรูดมาครึ่งโล หั่นเป็นแว่น ๆ ต้มกับน้ำครึ่งโลเหมือนกัน

ทิ้งไว้ให้เดือด แล้วปล่อยให้เดือดต่อไปอีกสัก 15 นาที แต่อย่าปล่อยให้น้ำระเหยหมดนะ

พอครบแล้วก็ปล่อยให้เย็น แล้วเอาไปปั่นพร้อมกับน้ำที่ต้มนั่นแหละ

กรอกใส่ขวด เอาไว้สระผม อาการคัน และรังแคจะดีขึ้น เพราะเชื้อรามันลดลง

สามารถสระได้ทุกวัน

หรือบางคนจะเอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อราก็ได้

ส่วนคนที่จะเอาไปถูหน้าก็ต้องเทสก่อนนะว่าไม่แพ้ ไม่งั้นจะไหม้เหมือนกระเทียมได้

  1. แสงแดด

เชื้อราจะกลัวแสงแดดมาก เพราะรังสียูวีในแดด จะทำให้ราอ่อนแอ และตายลง

มีการทดลองเอาคนที่ติดรา 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกมาตากแดดตอนเช้า ช่วง 7-8 โมง ทุกวัน ๆ ละ 1 ชม. เป็นเวลา 1 เดือน

กับอีกกลุ่มไม่ตากแดด

ผลออกมาคือกลุ่มที่ตากแดดทุกวันในช่วงเช้า ผิวดีขึ้น ราลดลง

วิธีต่อมาคือการใช้ยาเข้าช่วย ปกติแล้ววิธีนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

หรือเภสัชเท่านั้น ไม่ควรซื้อมาใช้เอง

  1. ไนโซรัลครีมตัวยา คีโตโคนาโซล

  1. ไนโซรัลแชมพู ตัวยา คีโตโคนาโซล

  1. เซลซั่นแชมพู ตัวยา ซีลีเนียม ซัลไฟด์

หลัก ๆ ที่เห็นก็มี 3 ตัวนี้ที่หมอและเภสัชมักแนะนำให้ใช้
ตัวยาเหล่านี้ จะไปรบกวนการส่งอาหารให้กับรา ทำให้ราขาดอาหารและตาย

แต่ปัญหาคือมักใช้ผิดวิธี คือใช้ยาว ใช้ตลอด ทำให้มันเกิดการดื้อยา

และการใช้พวกนี้นาน ๆ ก็ส่งผลให้ผิวเสียด้วย

จากที่เคยถามหมอผิวหนัง และแฟนเพจที่ไปหาหมอมา

หมอมักจะให้ใช้แชมพูมากกว่า เพราะเห็นผลไม่ต่างจากครีม และอยู่บนหน้าน้อยกว่า

เอฟเฟคจากยาก็จะน้อยว่าครีม ที่ต้องทาตั้งแต่เช้าถึงเย็น

โอกาสผิวเสียน้อยกว่า และดื้อยาน้อยกว่าหากใช้แบบถูกวิธี
บางคนใช้ทุกวันเป็นปี ๆ ก็ดื้อยาสิครับ

และจากที่ดูคนจะใช้เซลซั่นมากกว่า

หมอบอกว่าเชื้อราเหมือนกัน ไม่ว่าจะขึ้นตรงไหนก็ใช้ฟอกได้เหมือนกันหมด

หัวก็ได้ หน้าก็ดี

วิธีคือให้ฟอกหน้า แบบโฟมล้างหน้าเลย วันแรกอาจจะฟอกทิ้งไว้ 1 นาทีก่อน

หากไม่แพ้ วันต่อมาค่อยเพิ่มเป็น 3 นาที และ 5 นาทีตามลำดับ ฟอกเช้าเย็นได้เลย

พอครบ 7 วันเชื้อราจะค่อย ๆ ตายลง ผิวจะลอกเอาเศษซากของราออก

และสีผิวจะเริ่มกลับเป็นปกติใน 2 อาทิตย์

หน้าจะแห้งตึงมาก ๆ จุดนี้สามารถทาครีมบำรุงได้

หรือจะใช้น้ำมันมะพร้าวในตอนกลางคืนก็ได้

เห็นเค้าว่า น้ำมันจะไปเคลือบราไว้ ไม่ให้มันได้อ๊อกซิเจน

พอมันขาดอ๊อกซิเจน มันจะหยุดการเจริญเติบโต

แต่อย่าทาตอนเช้านะ มันจะทำให้ผิวไวแสง ดำไม่รู้นะ

พอใช้จนครบ 4 อาทิตย์ หมอก็จะให้เว้นระยะในอาทิตย์ที่ 5

โดยให้ใช้แค่วันเว้นวัน พออาทิตย์ที่ 6 ก็ลดเหลือ 2 วันครั้ง

และจะให้หยุดดูในอาทิตย์ที่ 7

ปัญหาคือ เราจะทำให้ยังไงไม่ให้รามันกลับมาอีก

เพราะหากผิวอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ ราก็จะกลับมาอีก

ดังนั้น ระหว่างที่รามันหดหายไปจากร่างกาย

เราต้องหันกลับมาดูแลตัวเองแบบสุด ๆ

หลัก ๆ เลยคือ ต้องทานสมุนไพรที่ต้านราได้ นั่นคือ
กระเทียม กระเทียมนอกจากจะมีสารต้านจุลชีพพวกแบคทีเรียและเชื้อราแล้ว สารสกัดกระเทียมมีฤทธิ์ลดการออกซิเดชันของไขมัน และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ superoxide dismutase  สาร diallyl sulfide มีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชันโดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ได้แก่ superoxide dismutase, catalase และ glutathione peroxidase ในเนื้อเยื่อปอด และเพิ่มระดับ glutathione ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ต้านการเกิด oxidative stress ได้แก่ heme oxygenase-1 (HO-1) และ ยับยั้ง CYP2E1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระทานคู่กับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นก็ได้ เพราะกรดของน้ำมันมะพร้าวสามารถฆ่าเชื้อยีสต์บางชนิดในร่างกายได้

มีคนถามว่ากระเทียมอัดเม็ดได้ไหม คำตอบคือได้เหมือนกัน แต่อาจไม่ดีเท่ากระเทียมสด

งาดำ

ข่า

ใบมะกรูด

กระเพรา เป็นต้น

เวลาที่เราทานสมุนไพรพวกนี้ จะทำให้ผิวของเราต้านเชื้อราได้

ที่สำคัญคืองดขนมปัง เนย ชีส เพราะพวกนี้มีเชื้อยีสต์ และมันเกิดเชื้อราได้ง่าย

หากทานเข้าไปอาจจะไปเพิ่มปริมาณเชื้อราในร่างกาย

หรือไปเป็นอาหารให้รา

ของหวาน ของทอด การทานอาหารเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก

ซึ่งก็จะเป็นอาหารให้ราได้

ทานผัก ผลไม้ให้หลากหลาย เพราะผัก ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรง

โดยต้องทานให้ครบ 5 สี และต้องเลือกหน่อย เพราะเดี๋ยวนี้ผัก ผลไม้จะมียาฆ่าแมลงเยอะ

หาผัก ผลไม้ตามฤดูกาล หรือผัก ผลไม้ออร์แกนิคก็ได้

ส่วนตัวจะชอบพวก แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ตำลึง มะระ กระเทียม
ผักหวาน ยอดฟักทอง  ใบกระเพรา

ผลไม้ก็ แอปเปิ้ล สัปรด กล้วย ฝรั่ง มะระกอ ทานสลับ ๆ กันไป
ใครสามารถซื้อแบบออร์แกนนิคได้ก็จะดีมาก

ดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ แบบไม่เย็น ให้ได้วันละ 2-3 ลิตร

เพราะจะทำให้ผิวไม่มัน และมีความชุ่มชื้นมาก ๆ

ทานพวกโปรไบโอติก หรือพวกแบคทีเรียที่ดี อย่างพวกยาคูลย์ บีทาเก้น

นมเปรี้ยวหรือโยเกริตที่มีแบคทีเรียที่ดีบ่อย ๆ ก็จะทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น แบคทีเรียที่ดีบางชนิด ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในร่างกาย
ต้องใช้วิธีทานเข้าไป หากทานก็ควรทานตลอด
เพราะมีรายงานว่า พอหยุดทาน 3 วัน มันก็ไม่เหลือในร่างกายแล้ว

นอน 4 ทุ่มให้ได้ทุกวัน เพราะช่วงเวลาที่ผิวจะซ่อมตัวเองได้ดีที่สุดคือช่วง 4 ทุ่ม – ตี 4

เพราะจะเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งสาร เมลาโทนิน และโกรทฮอร์โมนออกมา

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99

หาต้นตอของรา เช่น ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู หากมีก็ซื้อใหม่ หรือเอาไปตากแดดทุกวัน

เปิดห้องให้อากาศถ่ายเท ให้แดดส่องเข้ามาในห้อง

อย่าสระผมตอนกลางคืน หัวเปียก ๆ แล้วนอน

อยู่ห่าง ๆ สัตว์เลี้ยงพวกหมา แมว เพราะพวกนี้มักมีเชื้อรา
มันจะทำให้ติดมาถึงเราได้
http://www.naewna.com/lady/61682
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000112294

อย่าตากแดดจัด ๆ หลัง 8 โมงเช้า เพราะมันแรงไปแล้ว
ถึงราจะไม่ชอบแดด แต่กว่ามันจะตาย เราคงเป็นมะเร็งผิวหนังกันพอดี
และความร้อนจากแดดและอากาศจะทำให้หน้าหน้ามันมาก
อย่าลืมว่ามันเป็นอาหารของราได้
หากต้องออกไปกลางแจ้ง ควรใส่หมวก กางร่ม

อย่าใส่หน้ากากตลอดเวลา

ใส่เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น
นั่นเพราะว่าเวลาใส่มัน จะเกิดความอับชื้นที่ผิวใต้หน้ากากทันที
สังเกตุว่าเวลาเราหายใจออก ผิวจะอับ แต่จะดีขึ้นเมื่อเราหายใจเข้า
ราจะเจริญเติบโตได้ดีเพราะมันทั้งความอับชื้น และอ๊อกซิเจน

หากระหว่างวันหน้ามัน คันหน้า สามารถล้างหน้าได้
จะใช้โฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบาง ที่ไม่แพ้ หรือจะล้างน้ำเปล่าก็ได้
สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้า ล้างน้ำเปล่าก็เพียงพอ
ถ้าคันมาก ใช้น้ำดื่มเย็น ๆ ล้างก็จะช่วยได้มาก
แล้วทาครีมบำรุงที่เราไม่แพ้ แล้วทาแป้งเด็กทับก็จะทำให้ผิวสบายขึ้น
แต่หากว่าผิวดีขึ้นแล้ว ไม่แนะนำให้ล้างหน้าบ่อย
ไม่จำเป็นต้องล้างระหว่างวันอีก
อย่าลืมว่า การล้างหน้าแต่ละครั้ง มันจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
เวลาผิวแห้งมาก ๆ ผื่นก็ขึ้นได้เหมือนกัน

สุดท้ายคือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับเรา

เพื่อให้ผิวสามารถทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้โดยไว

โดยท่านสามารถดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้ที่นี้ครับ เขียนไว้ให้แล้ว

http://chinachinychin.blogspot.com/2015/01/blog-post.html

หวังว่าบทความที่เขียนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย

ถูก ผิด หรือตกหล่นประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ เพจ No Sebderm

https://www.facebook.com/No-Sebderm-463320630422857/

ส่วนคนที่สนใจในน้ำทะเล ให้ติดต่อที่เพจ Sea Water น้ำทะเลบำบัด
https://www.facebook.com/Sea-Water-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-1123563914341770/

ปล.ขอบคุณแฟนเพจที่ให้ข้อมูล และรูปเพื่อเป็นวิทยาทานครับ

ปล.2 รูปที่นำมาใช้ได้รับอนุญาติจากแฟนเพจแล้ว

หากมีใครนำไปใช้หากิน ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาติจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผิวติดสเตียรอยด์กับเชื้อรา


(บอกไว้ก่อนว่าเขียนตามความเข้าใจจากการสอบถามหมอ และผู้ที่เรียนมาทางด้านจุลชีวะวิทยา
ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ บทความนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นวิทยาทาน
เพื่อการดูแลตัวเองสำหรับคนที่ติดเชื้อรา)
ปัญหาใหญ่ของคนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์ประมาณ 70% คือ ติดเชื้อยีสต์ กับเชื้อรา
ซึ่งจริง ๆ แล้ว 2 ตัวนี้ก็คือรานั่นแหละ แค่คนละสายพันธ์ ยีสต์คือเซลล์เดียว ราคือหลายเซลล์
หากไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ สามารถไปให้หมอขูดสะเก็ดตรวจได้ตาม รพ.แผนกผิวหนังได้เลยคับ
คำถามแรก มันติดได้ไง มันติดจากอะไร
คำตอบคือ มันมีอยู่ทุกที่ ในอากาศ ในห้องนอน หรือแม้แต่ในตัวเราเอง
ปกติแล้ว ผิวหนังคนเราจะมีเชื้อราเจ้าถิ่น ควบคู่กับแบคทีเรียที่ดี ที่มันจะคอยต้านกันอยู่
และจะคอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแปลกปลอมเข้ามาในผิว
แบคทีเรียที่ดีก็จะคุมไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตไปจนเกินไป 
และถ้าผิวปกติ ราจะไม่ก่อปัญหาใด ๆ ให้กับผิว
คนปกติที่ร่างกายเข็งแรง เวลาเหงื่อออก จะหลั่งสารตัวหนึ่งที่แรกว่า แลคติก 
เพื่อยั้บยั้งการเจริญเติบโตของรา
เพราะฉะนั้น เวลาร่างกายเราภูมิตก หรือร่างกายอ่อนแอ สารตัวนี้จะลดลง แบคทีเรียที่ดีก็ลดลง บางคนถึงได้มีผื่นขึ้นเวลาป่วยไข้ หรือเวลามีประจำเดือน
คำถามต่อมาคือ ทำไมเราถึงภูมิตก
1.  นอนดึก
2. ไม่ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ หรือทานไม่บ่อยเพียงพอ ทานไม่หลากหลาย ไม่ครบ 5 สี
3. ชอบทานพวกของทอด ของมัน ขนมปัง ของหวาน 
4. ดื่มเหล้า แอลกอฮอลล์ต่าง ๆ เป็นประจำ ร์ตี้หนักบ่อย ๆ
5. ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า หรือดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ดื่มแต่น้ำหวาน หรือชา กาแฟ
6. เครียดเกินไป ความเครียดมักจะทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล ส่งผลถึงผิวได้ด้วยเหมือนกันในบางคน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ อาหารไม่มีประโยชน์ที่เราทานเข้าไป ส่งผลให้ผิวเราอ่อนแอ
และก่อให้เกิดต่อมไขมันทำงานหนักผิดปกติ
ถ้าสังเกตุดี ๆ เชื้อรามักจะชอบขึ้นตามที่มีต่อมไขมันเยอะ ๆ เช่นทีโซนของหน้า หน้าผาก จมูก ปาก คาง หน้าอก แผ่นหลัง และบนหนังศรีษะที่มักจะชึ้นเป็นที่แรก ๆ ของร่างกายแต่เราไม่ค่อยใส่ใจ
จนมันลามลงหน้า คนที่ชอบสระผมตอนกลางคืน แล้วหัวเปียก ๆ นอน
มัจะเกิดเชื้อราได้ง่ายที่สุด เพราะมีครบทั้งความชื้น อากาศ อาหาร
และที่สำคัญ มันไม่ค่อยโดนแสงแดด เพราะผมบัง
เชื้อราจะไปกินน้ำมันบนผิวหนัง
มีการสันนิฐานกันว่า คนที่ติดเชื้อราได้ง่าย เวลาอ่อนแอมักจะหลั่งน้ำมันชนิดที่ราชอบ
ทำให้บางคนเป็น และบางคนไม่เป็น แม้การกินอยู่เหมือนกันทุกอย่าง
เมื่ออาหารพร้อม อากาศพร้อม รามันจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
อุณหภูมิที่ราจะเจริญเติบโตได้ดีคือ 25-37 องศา และเจริญเติบโตเต็มที่โดยใช้เวลาแค่ 6-9 ชม.
(จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเช้า ๆ ไม่เป็นไร แต่พอตกเย็น กลับมาผื่นขึ้นเต็ม)
ซึ่งนั่นก็คือหมายความว่า ร่างกายเราเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของรา
พอมันเริ่มขยายตัว ผิวหนังเราจะเริ่มอักเสบ แดง คัน บางคนเป็นวงแดง ๆ
บางคนเป็นวงขาวๆ ลอกเป็นขุย หรือที่เรียกว่ากลากเกลื้อน
ลำดับต่อมาคือ หลังจากเป็นเชื้อราแล้วควรรักษาให้ถูกจุด
แต่ที่เห็นส่วนใหญ่คือรักษาที่ปลายเหตุ นั่นคือการทาสเตียรอยด์
การทาสเตียรอยด์จะทำให้ผิวหนังที่มันอักเสบ สงบลง ผื่นยุบ
แต่ปัญหาคือ รายังไม่ตาย มันก็ยังอยู่สบายดีบนหน้าเรา
แต่พอหยุดทา ผิวหนังก็อักเสบอีก ก็ทาอีก
ข้อดีของสเตียรอยด์คือมันลดอาการอักเสบได้แบบเฉียบพลัน
แต่ข้อเสียคือมันกดการแบ่งเซลล์ผิว
โดยปกติคนเราจะแบ่งเซลล์ผิวทุก 3-4 อาทิตย์ เพื่อให้ผิวไม่บาง และเพื่อให้ผิวดูสดใสอยู่เสมอ แต่ถ้ามันไม่มีการแบ่งตัว ผิวจะเริ่มบาง
พอบางมาก ๆ สเตียรอยด์เดิมที่ใช้ก็จะกดไม่อยู่
ก็ต้องเปลี่ยนตัวยาให้แรงขึ้น ทำให้ผิวยิ่งเสียมากขึ้น
พอหยุด ก็จะเกิดการอักเสบ จะมีทั้งผื่นสเตียรอยด์ ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราปน ๆ กันไป
พอเข้าใจละเนอะ เอาคร่า ๆ ก็พอ
คราวนี้จะมาพูดถึงดูแลตัวเองเบื้องต้นดีกว่า
วันนี้จะมาพูด 2 วิธีคือ วิธีธรรมชาติ กับวิธีใช้ยา
เรามาดูวิธีธรรมชาติกัน
1. น้ำทะเล ที่เมืองนอกมีการวิจัยออกมาว่า น้ำทะเลสามารถลดการอักเสบของผิวได้
มีหลักฐานที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการใช้น้ำทะเลบำบัดผิวที่อักเสบ
ในกรณีของผิวอักเสบร้ายแรง
น้ำทะเลช่วยให้ผลในการรักษาอาการคันที่ลดลดอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีการรักษาผิวอักเสบที่ระคายเคืองด้วยการ
ประคบด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL)
และเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ (capacitance)
เมื่อเทียบกับใช้น้ำที่ได้รับการขจัดอิออนออกไป
เมื่อประคบไว้ 20 นาทีต่อครั้ง หลาย ๆ ครั้งเป็นเวลาสองสัปดาห์ TEWL
ใช้วัดการหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ
และ capacitance ใช้วัดปริมาณน้ำที่ชั้นบนสุดของหนังกำพร้า
ผลการศึกษานี้จึงให้หลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของน้ำทะเล
ในการยับยั้งการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง และยับยั้งความแห้งที่ชั้นบนของหนังกำพร้า
ในกรณีของผิวอักเสบที่ระคายเคือง
และยังพบว่าน้ำทะเลมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ในการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมโดยไม่ให้ผู้ป่วยที่สุ่มมาทราบว่าตนเองได้ยาชนิดใด
โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำจากทะเลเดดซีที่มีแร่ธาตุสูงที่ 358 C เป็นเวลา 20 นาที
เป็นเวลาสามสัปดาห์ เมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
ปรากฎว่าน้ำจากทะเลเดดซีช่วยลดบริเวณที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงิน
และคะแนนความรุนแรงของโรค (PASI) ลดลงทันทีที่ได้รับการรักษา
โดยผลการรักษายังคงอยู่เมื่อหยุดรักษาแล้วหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของคะแนน PASI
ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำจากทะเลเดดซีและกลุ่มที่ได้รับน้ำทะเลทั่วไป

 
การศึกษานี้สนับสนุนผลของการใช้น้ำทะเลเพื่อการบำบัด
และแสดงว่าองค์ประกอบที่ช่วยกักเก็บน้ำในน้ำทะเล
มากกว่าจะเป็นลักษณะของปะจุในน้ำ ที่เป็นตัวช่วยรักษา
ขอบคุณแฟนเพจด้วยครับที่ช่วยแปล

อ้างอิงจาก https://aucops.files.wordpress.com/2013/04/handbook-of-cosmetic-science-and-technology-third-edition.pdf

นอกจากมันจะลดอักเสบได้ มันยังสามารถฆ่าราได้
มีการสันนิฐานว่า เพราะน้ำในทะเลนั้นข้มข้นมาก ๆ เวลาที่แช่น้ำทะเล
จะเกิดการถ่ายเทน้ำระหว่างผิว ทำให้น้ำในราถูกดึงออก ทำให้มันตาย
จริงเท็จแค่ไหน ไม่แน่ใจนะคับ แต่ลองมาแล้ว เห็นผลสุด ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกกันเลยทีเดียว
ช่วงแรกอาจจะต้องไปบ่อยหน่อย เพราะผิวยังไม่แข็งแรง แม้ของเก่าตายไป
ของใหม่ก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ คือไปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง และไปตักน้ำทะเลกลับมาล้างหน้าด้วย
พอเริ่มดีขึ้น ก็ลดเหลือไปแช่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง อาทิตย์ละครั้ง 2 อาทิตย์ครั้ง จนไม่ต้องไป
แค่ล้างหน้าด้วยน้ำทะเลก็พอ
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่อยู่ใกล้ทะเล และต้องเป็นทะเลที่สะอาดด้วย
หาดที่มีโรงงาน หรือขยะเยอะ ๆ ไม่แนะนำนะ อาจได้โรคกลับมาเพิ่ม
และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้น้ำทะเลด้วย ซึ่งไม่ค่อยมี แต่ก็มี
อันนี้รูปฉินเอง เป็นการใช้น้ำทะเลบำบัดเป็นเวลา 6 เดือน ดูประวัติเพิ่มเติมได้ที่ http://chinachinychin.blogspot.com/2015/10/sebderm-steroid-addiction_6.html



ส่วนคนที่ถามว่า ใช้เกลือละลายน้ำได้ไหม คำตอบคือได้ แต่อาจได้ผลดีไม่เท่าน้ำทะเล
อาจเพราะน้ำทะเลมีพวกแพลงตอน สาหร่ายทะเล และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผิว
แต่พอเอาไปตากแดดจนเหลือแต่เกลือ คุณค่าบางอย่างอาจจะหายไป
แต่ราก็ไม่ชอบเกลืออยู่ดี ดังนั้นก็ใช้ได้
วิธีคือ เอาเกลือทะเล(เกลือที่ทำกับข้าวนิแหละ) ที่ไม่ผสม ไอโอดีน ในห้างจะมีขาย
เอามาละลายน้ำ โดยอาจจะใช้เกลือ 3 ช้อน น้ำดื่ม 10 ช้อน ผสมจนมันละลาย
แล้วใช้สำลีแผ่น ชุบน้ำเกลือ มาร์คหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วค่อยไปล้างหน้าออก
ส่วนถ้าเป็นที่หัว หรือที่ตัว ที่หลัง จะแนะนำให้ใช้เกลือถูกตรงบริเวณที่เป็นรา
มันจะทำให้ราอ่อนแอลง และเซลล์ผิวที่มีราเกาะอยู่ก็จะหลุดไปด้วยเวลาเกลือไปถูมันออก
ถือเป็นการสคลัปผิวเบา ๆ อย่าถูแรง
และไม่ค่อยแนะนำให้ใช้กับหน้า เพราะผิวหน้าบาง อาจเกิดการอักเสบจากคมของผลึกเกลือได้
วิธีนี้ก็ทำได้ทุกวัน จนกว่าราจะหายไป


อันนี้คือเชื้อราบนหลัง น้องเค้าไปหาหมอแล้วขูดสะเก็ดไปตรวจ
พบว่ามีเชื้อรา ตอนนี้กำลังทดลองใช้เกลืออยู่



2. กระเทียม เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าในตัวของกระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ
พวกแบคทีเรีย และเชื้อราชนิดต่าง ๆ  แม้เชื้อรานั้นจะดื้อยาแล้วก็ตาม
ดุข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/allium.html
วิธีคือปอกเปลือกกระเทียมออก จะใช้กระเทียมไทยเม็ดเล็ก ๆ ก็ได้ หรือกระเทียมจีนเม็ดใหญ่ๆ
ถ้ากระเทียมไทยจะออกฤทธิ์แรงกว่า แสบร้อนกว่า
กระเทียมจีนจะไม่ค่อยแสบเท่าไหร่ แต่ก็ออกฤทธิ์น้อยกว่า
หั่นเป็นแผ่น ๆ หลังล้างหน้า เอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อรา ทิ้งไว้ 5 นาที  แล้วค่อยล้างออก
อย่าทิ้งนานกว่านั้น เพราะผิวอาจจะไหม้ได้ และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้ง่าย
ถ้าจะเทสครั้งแรกให้เทส 1-2 นาทีก่อน และรอดูอาการ 3 วัน
หากมีอาการลอกออก แล้วผิวกลับมาเป็นปกติก็แสดงว่าใช้ได้
เพราะผิวที่ลอกออก คือราที่หลุดออกไปด้วย
ปล.วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่แพ้กระเทียม และอย่าทานานเกิน 5 นาที มีคนที่หน้าไหม้มาแล้ว

3. มะกรูด เนื่องจากมะกรูดมีฤทธิ์ต้านราได้พอ ๆ กับกระเทียม
คนสมัยก่อนมักจะเอามาถูตรงบริเวณที่เป็นเชื้อรา หรือเอามาสระผม
หรือบางคนก็เอาน้ำมะกรูดมาขัดเล็บที่มีเชื้อราก็ทำให้ราดีขึ้นได้
ส่วนตัวเอามาทำเป็นแชมพูไว้สระผม เพราะราที่หัวดื้อยาหมดแล้ว
วิธีทำก็ง่าย ๆ คือเอามะกรูดมาครึ่งโล หั่นเป็นแว่น ๆ ต้มกับน้ำครึ่งโลเหมือนกัน
ทิ้งไว้ให้เดือด แล้วปล่อยให้เดือดต่อไปอีกสัก 15 นาที แต่อย่าปล่อยให้น้ำระเหยหมดนะ
พอครบแล้วก็ปล่อยให้เย็น แล้วเอาไปปั่นพร้อมกับน้ำที่ต้มนั่นแหละ
กรอกใส่ขวด เอาไว้สระผม อาการคัน และรังแคจะดีขึ้น เพราะเชื้อรามันลดลง
สามารถสระได้ทุกวัน
หรือบางคนจะเอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อราก็ได้
ส่วนคนที่จะเอาไปถูหน้าก็ต้องเทสก่อนนะว่าไม่แพ้ ไม่งั้นจะไหม้เหมือนกระเทียมได้
4. แสงแดด
เชื้อราจะกลัวแสงแดดมาก เพราะรังสียูวีในแดด จะทำให้ราอ่อนแอ และตายลง
มีการทดลองเอาคนที่ติดรา 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกมาตากแดดตอนเช้า ช่วง 7-8 โมง ทุกวัน ๆ ละ 1 ชม. เป็นเวลา 1 เดือน
กับอีกกลุ่มไม่ตากแดด
ผลออกมาคือกลุ่มที่ตากแดดทุกวันในช่วงเช้า ผิวดีขึ้น ราลดลง


วิธีต่อมาคือการใช้ยาเข้าช่วย ปกติแล้ววิธีนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
หรือเภสัชเท่านั้น ไม่ควรซื้อมาใช้เอง
1. ไนโซรัลครีมตัวยา คีโตโคนาโซล



2. ไนโซรัลแชมพู ตัวยา คีโตโคนาโซล



3. เซลซั่นแชมพู ตัวยา ซีลีเนียม ซัลไฟด์



หลัก ๆ ที่เห็นก็มี 3 ตัวนี้ที่หมอและเภสัชมักแนะนำให้ใช้ 
ตัวยาเหล่านี้ จะไปรบกวนการส่งอาหารให้กับรา ทำให้ราขาอาหารและตาย
แต่ปัญหาคือมักใช้ผิดวิธี คือใช้ยาว ใช้ตลอด ทำให้มันเกิดการดื้อยา
และการใช้พวกนี้นาน ๆ ก็ส่งผลให้ผิวเสียด้วย
จากที่เคยถามหมอผิวหนัง และแฟนเพจที่ไปหาหมอมา
หมอมักจะให้ใช้แชมพูมากกว่า เพราะเห็นผลไม่ต่างจากครีม และอยู่บนหน้าน้อยกว่า
เอฟเฟคจากยาก็จะน้อยว่าครีม ที่ต้องทาตั้งแต่เช้าถึงเย็น
โอกาสผิวเสียน้อยกว่า และดื้อยาน้อยกว่าหากใช้แบบถูกวิธี
บางคนใช้ทุกวันเป็นปี ๆ ก็ดื้อยาสิครับ
และจากที่ดูคนจะใช้เซลซั่นมากกว่า
หมอบอกว่าเชื้อราเหมือนกัน ไม่ว่าจะขึ้นตรงไหนก็ใช้ฟอกได้เหมือนกันหมด
หัวก็ได้ หน้าก็ดี
วิธีคือให้ฟอกหน้า แบบโฟมล้างหน้าเลย วันแรกอาจจะฟอกทิ้งไว้ 1 นาทีก่อน
หากไม่แพ้ วันต่อมาค่อยเพิ่มเป็น 3 นาที และ 5 นาทีตามลำดับ ฟอกเช้าเย็นได้เลย
พอครบ 7 วันเชื้อราจะค่อย ๆ ตายลง ผิวจะลอกเอาเศษซากของราออก
และสีผิวจะเริ่มกลับเป็นปกติใน 2 อาทิตย์
หน้าจะแห้งตึงมาก ๆ จุดนี้สามารถทาครีมบำรุงได้
หรือจะใช้น้ำมันมะพร้าวในตอนกลางคืนก็ได้
เห็นเค้าว่า น้ำมันจะไปเคลือบราไว้ ไม่ให้มันได้อ๊อกซิเจน
พอมันขาดอ๊อกซิเจน มันจะหยุดการเจริญเติบโต
แต่อย่าทาตอนเช้านะ มันจะทำให้ผิวไวแสง ดำไม่รู้นะ
พอใช้จนครบ 4 อาทิตย์ หมอก็จะให้เว้นระยะในอาทิตย์ที่ 5
โดยให้ใช้แค่วันเว้นวัน พออาทิตย์ที่ 6 ก็ลดเหลือ 2 วันครั้ง
และจะให้หยุดดูในอาทิตย์ที่ 7




ปัญหาคือ เราจะทำให้ยังไงไม่ให้รามันกลับมาอีก
เพราะหากผิวอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ ราก็จะกลับมาอีก
ดังนั้น ระหว่างที่รามันหดหายไปจากร่างกาย
เราต้องหันกลับมาดูแลตัวเองแบบสุด ๆ
หลัก ๆ เลยคือ ต้องทานสมุนไพรที่ต้านราได้ นั่นคือ
กระเทียม กระเทียมนอกจากจะมีสารต้านจุลชีพพวกแบคทีเรียและเชื้อราแล้ว สารสกัดกระเทียมมีฤทธิ์ลดการออกซิเดชันของไขมัน และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ superoxide dismutase  สาร diallyl sulfide มีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชันโดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ได้แก่ superoxide dismutase, catalase และ glutathione peroxidase ในเนื้อเยื่อปอด และเพิ่มระดับ glutathione ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ต้านการเกิด oxidative stress ได้แก่ heme oxygenase-1 (HO-1) และ ยับยั้ง CYP2E1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ ทานคู่กับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นก็ได้ เพราะกรดของน้ำมันมะพร้าวสามารถฆ่าเชื้อยีสต์บางชนิดในร่างกายได้
มีคนถามว่ากระเทียมอัดเม็ดได้ไหม คำตอบคือได้เหมือนกัน แต่อาจไม่ดีเท่ากระเทียมสด
งาดำ
ข่า
ใบมะกรูด
กระเพรา เป็นต้น
เวลาที่เราทานสมุนไพรพวกนี้ จะทำให้ผิวของเราต้านเชื้อราได้
ที่สำคัญคืองดขนมปัง เนย ชีส เพราะพวกนี้มีเชื้อยีสต์ และมันเกิดเชื้อราได้ง่าย
หากทานเข้าไปอาจจะไปเพิ่มปริมาณเชื้อราในร่างกาย
หรือไปเป็นอาหารให้รา
ของหวาน ของทอด การทานอาหารเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก
ซึ่งก็จะเป็นอาหารให้ราได้
ทานผัก ผลไม้ให้หลากหลาย เพราะผัก ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรง
โดยต้องทานให้ครบ 5 สี และต้องเลือกหน่อย เพราะเดี๋ยวนี้ผัก ผลไม้จะมียาฆ่าแมลงเยอะ
หาผัก ผลไม้ตามฤดูกาล หรือผัก ผลไม้ออร์แกนิคก็ได้
ส่วนตัวจะชอบพวก แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ตำลึง มะระ กระเทียม
ผักหวาน ยอดฟักทอง  ใบกระเพรา
ผลไม้ก็ แอปเปิ้ล สัปรด กล้วย ฝรั่ง มะระกอ ทานสลับ ๆ กันไป
ใครสามารถซื้อแบบออร์แกนนิคได้ก็จะดีมาก
ดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ แบบไม่เย็น ให้ได้วันละ 2-3 ลิตร
เพราะจะทำให้ผิวไม่มัน และมีความชุ่มชื้นมาก ๆ
ทานพวกโปรไบโอติก หรือพวกแบคทีเรียที่ดี อย่างพวกยาคูลย์ บีทาเก้น
นมเปรี้ยวหรือโยเกริตที่มีแบคทีเรียที่ดีบ่อย ๆ ก็จะทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น บคทีเรียที่ดีบางชนิด ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในร่างกาย
ต้องใช้วิธีทานเข้าไป หากทานก็ควรทานตลอด
เพราะมีรายงานว่า พอหยุดทาน 3 วัน มันก็ไม่เหลือในร่างกายแล้ว 

นอน 4 ทุ่มให้ได้ทุกวัน เพราะช่วงเวลาที่ผิวจะซ่อมตัวเองได้ดีที่สุดคือช่วง 4 ทุ่ม – ตี 4
เพราะจะเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งสาร เมลาโทนิน และโกรทฮอร์โมนออกมา
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99

หาต้นตอของรา เช่น ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู หากมีก็ซื้อใหม่ หรือเอาไปตากแดดทุกวัน
เปิดห้องให้อากาศถ่ายเท ให้แดดส่องเข้ามาในห้อง
อย่าสระผมตอนกลางคืน หัวเปียก ๆ แล้วนอน 
อยู่ห่าง ๆ สัตว์เลี้ยงพวกหมา แมว เพราะพวกนี้มักมีเชื้อรา
มันจะทำให้ติดมาถึงเราได้
http://www.naewna.com/lady/61682
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000112294

อย่าตากแดดจัด ๆ หลัง 8 โมงเช้า เพราะมันแรงไปแล้ว
ถึงราจะไม่ชอบแดด แต่กว่ามันจะตาย เราคงเป็นมะเร็งผิวหนังกันพอดี
และความร้อนจากแดดและอากาศจะทำให้หน้าหน้ามันมาก 
อย่าลืมว่ามันเป็นอาหารของราได้
หากต้องออกไปกลางแจ้ง ควรใส่หมวก กางร่ม 

อย่าใส่หน้ากากตลอดเวลา

ใส่เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น 
นั่นเพราะว่าเวลาใส่มัน จะเกิดความอับชื้นที่ผิวใต้หน้ากากทันที
สังเกตุว่าเวลาเราหายใจออก ผิวจะอับ แต่จะดีขึ้นเมื่อเราหายใจเข้า
ราจะเจริญเติบโตได้ดีเพราะมันทั้งความอับชื้น และอ๊อกซิเจน 
  

หากระหว่างวันหน้ามัน คันหน้า สามารถล้างหน้าได้
จะใช้โฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบาง ที่ไม่แพ้ หรือจะล้างน้ำเปล่าก็ได้
สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้า ล้างน้ำเปล่าก็เพียงพอ
ถ้าคันมาก ใช้น้ำดื่มเย็น ๆ ล้างก็จะช่วยได้มาก
แล้วทาครีมบำรุงที่เราไม่แพ้ แล้วทาแป้งเด็กทับก็จะทำให้ผิวสบายขึ้น
แต่หากว่าผิวดีขึ้นแล้ว ไม่แนะนำให้ล้างหน้าบ่อย 
ไม่จำเป็นต้องล้างระหว่างวันอีก 
อย่าลืมว่า การล้างหน้าแต่ละครั้ง มันจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
เวลาผิวแห้งมาก ๆ ผื่นก็ขึ้นได้เหมือนกัน       

  


สุดท้ายคือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับเรา 
เพื่อให้ผิวสามารถทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้โดยไว
โดยท่านสามารถดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้ที่นี้ครับ เขียนไว้ให้แล้ว

หวังว่าบทความที่เขียนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย
ถูก ผิด หรือตกหล่นประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ เพจ No Sebderm
https://www.facebook.com/No-Sebderm-463320630422857/

ส่วนคนที่สนใจในน้ำทะเล ให้ติดต่อที่เพจ Sea Water น้ำทะเลบำบัด
https://www.facebook.com/Sea-Water-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-1123563914341770/


 ปล.ขอบคุณแฟเพจที่ให้ข้อมูล และรูปเพื่อเป็นวิทยาทานครับ
 ปล.2 รูปที่นำมาใช้ได้รับอนุญาติจากแฟนเพจแล้ว
หากมีใครนำไปใช้หากิน ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาติจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย




ประวัติการรักษาเซบเดิร์ม (Sebderm) และผิวติดสเตียรอยด์ (Steroid addiction)

ดีคับ เจอกับฉินอีกแล้ว
บล๊อกเก่า ๆ ฉินลบออกไปแล้วนะ
เวลาเจออะไรใหม่ ๆ ชอบเขียนใหม่เลย 
เข้าเรื่องเลย
หลายคนคงจะสงสัยว่าอะไรคือเซบเดิร์ม 
ทำไมไปหาหมอ หมอชอบบอกว่าเราเป็นเซบเดิร์ม
จากความเข้าใจของฉินนะ ที่รับปรึกษามาตลอด 2 ปีกว่า
และหาหมอมาตลอด 20 กว่าปี
ได้ความว่า เซบเดิร์มมี 2 ประเภท 
คือ เซบเดิร์มแท้ กับเซบเดิร์มเทียม

เซบเดิร์มแท้
คือ คนที่ไม่เคยใช้อะไรที่หน้าเลย ไม่เคยทาครีม ไม่เคยหาหมอรักษาผิวหน้า
แต่เกิดจากสมดุลร่างกายผิดปกติ คือ นอนน้อย เครียด ดื่มน้ำน้อย ไม่ทานผัก ผลไม้
ดื่มน้ำหวานเยอะ เหล้ายา ปลาปิ้งหนัก ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน ชอบทานแต่ขนม นม เนย ของไม่มีประโยชน์ หรืออาหารขยะ
หรือทานอาหารช่วงดึกๆ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดการเสียสมดุล
ก็จะเกิดเป็นเซบเดิร์มขึ้นที่ข้างจมูก หัวคิ้ว คาง รอบปาก หรือช่วง T-Zone นั้นเอง

ส่วนเซบเดิร์มเทียมคือ พวกที่ผิวหนังแข็งแรงปกติ ใช้อะไรก็ได้
แต่พลาดไปใช้ครีมเน็ตที่มีสารอันตราย ทั้งปรอท และสเตียรอยด์
หรือไปทำหน้าแล้วเจอสเตียรอยด์ใส่ขณะทำหน้า
หรือใช้ยาสิว มากเกินไป 
หรือใช้ครีมหน้าขาวใสมากไป
หรือไปแพ้อะไรบางอย่าง แล้วใช้สเตียรอยด์ในการระงับอาการแพ้ ก็ติดสเตียรอยด์กันไป    
กลุ่มนี้เวลาหยุดครีม หรือยาที่มีสเตียรอยด์จะเละมากเหมือนกันในช่วงแรก
แต่พอผิวเค้าซ่อมตัวเองได้ ก็จะกลับมาหน้าปกติคับ แต่อาจจะมีตีกลับมาบ้างเป็นช่วง ๆ 
ขึ้นกับว่าใช้มานานแค่ไหน ไหวตัวทันก็หายเร็ว ช้าหน่อยก็นานหน่อยคับ

โดยของฉินเนี้ย เป็นแบบแรกเลยคับ เซบเดิร์มแท้ ๆ เลย ไม่เคยทาอะไรที่หน้าเลยตั้งแต่เด็ก
ถามว่าเมื่อก่อนฉินทำตัวแบบนี้หรอ ก็ไม่ถึงกับเหล้ายา ปลาปิ้งหรอก 
สมัยประถมก็แค่ไม่ค่อยทานผักเพราะมันขม ส่วนผลไม้ก็ทานบ้าง ตามแต่เด็จแม่จะซื้อมา 
ดื่มน้ำน้อย น้อยมาก ๆ อะ เพราะห้องน้ำที่โรงเรียนสกปรกมาก
คือมันเหม็นมาก ๆ อะ แค่เดินเข้าไปฉี่ก็แสบตา แสบจมูกไปหมด 
เลยคิดว่าดื่มน้ำน้อย ๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเข้าบ่อย มาเข้าที่บ้านทีเดียวเลย
แต่คิดผิดถนัด หนู ๆ อย่าทำตามนะ มันทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย
แล้วก็เครียดเรื่องเรียนด้วย เพราะเราหัวช้า ตามเพื่อนไม่ทัน จะโดนครูตีบ่อย ๆ 
แล้วที่บ้านขายข้าวมันไก่ด้วย กินทุกวัน ตามด้วยน้ำอัดลม
เป็นแบบนี้ยาว ๆ มาเลย จนจบม.3
พอเข้า ปวช.เท่านั้นแหละ สิวมาเต็มหน้า
ตอนนั้นก็ยังเฉยๆ นะ ไม่สนใจ แต่เซบเดิร์มของแท้เริ่มมาละ
ข้างจมูก หัวคิ้ว
เป็นขุย ๆ คัน ๆ ขาว ๆ 
เลยไปซื้อผงขัดหน้าพม่ามาขัด 
สรุป… พัง
ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นเซบเดิร์ม คือมีเชื้อยีสต์ที่หน้า เลยให้สเตียรอยด์มาทา
เลยทาสเตียรอยด์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทาตั้งแต่อายุ 14 วนเวียนอยู่กับการหาหมอ ทายาสิวบ้าง สเตียรอยด์บ้าง
ทา ๆ หยุด ๆ กินยาสิวด้วยควบคู่ 
เป็นแบบนี้จนถึงอายุ 29

สิวก็เริ่มประทุขึ้นมาเยอะมาก ๆ กินยาสิวก็เอาไม่อยู่
รู้สึกว่าจะดื้อยาละ เพราะกินมาตลอดแทบจะทุกตัวที่หมอมี
หลัง ๆ กินตัวแรงพวก โรแอค ที่กินแล้วปากแห้ง ตัวแห้ง ปากแตก เลือดออก
แต่กินแล้วหน้าไม่มัน สิวยุบก็เลยกิน
แต่หลัง ๆ ก็เริ่มไม่หาย แถมปากแตกน่ากลัวมาก ร่างกายเริ่มรับไม่ไหว
และมารู้ทีหลังว่ายาตัวนี้ทานมาก ๆ ตับจะมีปัญหา เลยหยุดกิน
พอดีช่วงนั้น แม่ย้ายไปขายข้าวมันไก่ ที่ต่างจังหวัด
แล้วมีคนแถวบ้านเค้าแนะนำครีมให้ บอกว่าเป็นสมุนไพร
มี 2 อย่าง คือเซรั่มน้ำนม กับครีมขมิ้นสด (มันคือครีมในเน็ต)
ใช้ไป 7 วัน หน้าใสมาก สิวหาย หน้าขาว


เลยใช้มาเรื่อย ๆ  2 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งแบบขาดความชุ่มชื้น
เลยหยุดใช้ หันไปใช้ของธรรดาที่ขายตามเคาร์เตอร์บ้าง แต่ปรากฎว่า
“สิว” “ผื่น” มาครบเลย มาแบบเต็มหน้าเลย
เลยกลับไปใช้ตัวเซรั่มน้ำนมของเก่า ปรากฎว่าผื่นยุบ เลยรู้เลยว่ามีสเตียรอยด์
แต่สิวไม่ยุบละ กลับขึ้นไม่หยุด
เลยหาวิธีธรรมชาติดู ก็มีคนแนะนำให้ทานผัก ผลไม้ ขับพิษ
โดยต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นพิษ ซึ่งนั้นก็คือสเตียรอยด์ด้วย
พอหยุดทุกอย่าง 2เดือนผลที่ได้เลยเป็นแบบนี้
ตอนนั้นปี 2554 ทานผัก ผลไม้อยู่ได้ 6 เดือน สิวเริ่มลด แต่ผื่นยังครบ


ตอนนั้นเครียดมากไม่รู้ทำไง เลยเปิด google ดู ก็ไปเจอบทความหนึ่ง
ตอนนั้นปี 2555 ช่วงต้นปี
เค้าบอกว่าเค้าไปรักษาแบบแพทย์ทางเลือก
เป็นการรักษาแบบโฮมีโอ
เลยลองไปดู รักษาไปเกือบปี
เสียไปกว่า 3 หมื่น
ทำท่าจะดี


แต่แล้ว ช่วงสิ้นปีไม่สบายเท่านั้นแหละ กลับมาหนักเชียว


คุณหมอบอกว่า คงต้องทาสเตียรอยด์แล้วละ
เลยรู้ละว่า วิธีนี้ไม่ใช่ละ

หลังจากนั้นก็มีน้องคนหนึ่งแนะนำว่า ไม่ลองไปตรวจภูมิแพ้ผิวหนังดู
เลยไปหาคลินิกแถวประชาชื่น เห็นว่าคุณหมอจบจากเมกา
คุณหมอบอกว่า ที่นี่ไม่รับปรึกษาเซบเดิร์ม แต่เท่าที่ดูเหมือนจะแพ้อะไรบางอย่าง
เลยจับตรวจหาสารที่แพ้ให้
สรุป ไม่เจออะไร เสียไป 3 พันกว่าบาท ค่ายาอีกเป็นพัน
คุณหมอเลยบอกว่า งั้นเอา Protopic ไปทา
หมอบอกว่าให้ทาเช้าเย็น 7 วัน
แล้วก็เหลือแค่เย็น 7 วัน แล้วลดวันเว้นวัน อาทิตย์ละ 2 วันแบบนี้ไป จนหยุดไปเลย
ไปหาอยู่ 3 ครั้ง ก็เริ่มดีขึ้น เพราะ Protopic มันกดอาการไว้เหมือนสเตียรอยด์
แต่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่มารู้ทีหลังว่า ตัวนี้ทามาก ๆ ไม่ดี ผิวเสียได้เหมือนกัน
ที่เมืองนอกเค้าก็ไม่ให้ใช้นาน ๆ เกิน 6 เดือน เพราะมีผลเสียกับผิว

http://www.webmd.com/drugs/2/drug-20335/protopic-top/details

http://www.drugs.com/sfx/protopic-side-effects.html

เลยหยุดไปเกือบ ๆ เดือนผื่นเริ่มมา แล้วก็ได้มาเจอกับ พลาสมาเย็น
มีน้องคนเดิม แนะนำ
ตอนนั้นปี 2556 ช่วงก.ค.
เลยลองไปคุยดู พอดีเค้าเปิดรับเคสศึกษา ทำฟรี เลยไปลองทำดู
พลาสมาเย็นเป็นการใช้ไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นชั้นผิวให้เกิดการแบ่งตัว
ตรงข้ามกับสเตียรอยด์ ที่ไปกดการแบ่งตัวของชั้นผิว
แต่มันจะกระตุ้นได้ชั่วคราวเท่านั้น
ต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าหน้าของเราจะกลับมาปกติเอง
หรืออยู่ได้ด้วยตัวเอง
แต่ข้อเสียคือ ถ้าผิวคุณต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายปี ก็ต้องทำหลายปี
ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ
และข้อเสียอีกอย่างของมันคือ มันเปิดผิว เพื่อให้ครีม หรือเซรั่มลงได้ลึกมากขึ้น
แต่นั่นก็หมายถึงว่า ถ้าไปเจอสิ่งที่แพ้ ติดเชื้อเพิ่ม มันก็จะลงได้ลึกเช่นเดียวกัน
ส่งผลให้หลาย ๆ คนไมประสบความสำเร็จกับวิธีนี้
แต่โชคดีที่ฉินไม่เจอในช่วงแรก
หลังจากที่ทำไป 6 เดือน ปรากฎว่าดีขึ้นวะ
ดีขึ้นเยอะมาก มากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่เคยรู้สึกหน้าดีขนาดนี้มานานมากละ
พอผื่นหายหมด เลยตัดสินใจไปยิงหลุมสิวเพิ่ม
แม้จะรู้ว่า ยิงแล้วผิวมันจะอ่อนแอ แต่ก็มั่นใจว่า พลาสมาเย็นจะทำให้ผิวไม่กลับไปอ่อนแอ 
แต่คิดผิด
(อย่าไปทำนะ เพราะส่วนใหญ่ใช้เลเซอร์ที่คลื่นไม่ดี
ทำลายผิวชั้นบน แต่ตัวคลื่นดีก็มีคับ เท่าที่รู้ 
แต่จะแพงมากเท่านั้นเอง คือไม่ทำลายผิวชั้นบน 
ยิงลึกถึงผิวชั้นล่าง แต่แพงมาก ครั้งละ 20,000 บาท
แต่ก็อีกนั้นแหละ ถ้าผิวยังไม่แข็งแรงอย่าเพิ่งดีกว่า
กลัวจะเสียเงิน แถมเสียหน้าอีก)
ยิงช่วง ม.ค.-เม.ย. 57

ทุกครั้งที่ยิงผื่นจะขึ้น
แต่พอทำพลาสมาเย็นไปสักพัก ผื่นก็จะหายไป
แต่…หลังจากที่ยิงไป 4 ครั้ง
ครั้งที่ 4 ยิงหนักมาก
ผลปรากฎว่า ผื่นมาเยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก
คิดว่า เดี๋ยวทำพลาสมาเย็นก็น่าจะหาย
แต่ไม่ใช่…
คราวนี้ผื่นมา ๆ ไป ๆ หายไปสักพัก ก็กลับมาเป็นอีก
ทนทำไป 4 เดือน ผิวเริ่มแย่ ผื่นเริ่มมาหนักขึ้น
จากที่ไม่เคยขึ้นหนักขนาดนี้ก็ขึ้น
ที่คลินิกพลาสมาเย็นบอกว่า สงสัยจะแพ้อะไรบางอย่าง
ให้เรากลับไปหา
เราก็หา แทบจะล้างห้องนอนใหม่หมดเลย ก็ไม่หาย
นึกขึ้นได้ว่า หรือว่าเราจะติดยีสต์ เลยไปเอาไนโซรัล ครีมมาทา
สรุปว่า ยุบ
ตอนนี้รู้ละว่าเป็นเชื้อยีสต์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อรา
แต่ปัญหาใหญ่คือ ไอ้เชื้อบ้าเนี้ย มันมีอยู่ทุกที่ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู ในแอร์ หรือในตัวเราเองก็มีเชื้อพวกนี้อยู่แล้ว
ตราบใดที่หน้ายังไม่แข็งแรง มันจะเห่อตลอด
ช่วงนั้นก็ทาไป ทำพลาสมาเย็นไป ก็ไม่ค่อยดี
พอทำเสร็จ กลับมาก็เห่อ เพราะมันเปิดผิว
เลยหยุดไปเลย ทาไนโซรัลอย่างเดียว 2 เดือน
แล้วก็ลองหยุด สรุป เห่อ
หมอบอกว่า ไนโซรัลทานาน ๆ ทำให้ผิวเสียได้ 
และสามารถทำให้ราดื้อยาได้
เลยลองไปทำพลาสมาเย็นอีกสักตั้ง
ผลคือ เละไม่เป็นท่า

เลยหยุดเลย 
รู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ตัวเองแล้ว
มีคำถามมากมายในหัวว่า ทำไมทำตั้งนานแล้วผิวยังไม่แข็งแรง
ทำไมรอบแรกหาย แล้วรอบนี้ไม่หาย
หน้ากูมีปัญหาหรอ ใช่หรอ 
แต่ก็เอาเถอะ เพราะคิดว่าคงไม่ไปทำต่อแล้ว

แล้วก็พอดีช่วงนั้นกลับบ้านต่างจังหวัด
คนแถวบ้านเค้าเห็นก็ถามว่าเป็นอะไร
เราก็บอกว่าติดเชื้อรา
เค้าบอกว่า เมื่อก่อนเค้าก็เป็น เป็นทั้งตัวเลย กับเพื่อนอีก 2 คน
ไปรักษากับหมอ หมอก็ให้กินยาฆ่าเชื้อราตลอด 
ซึ่งยาพวกนี้มีผลต่อตับ
แต่พวกเค้าคงไม่รู้ว่าระหว่างกินยา 
ห้ามทานเหล้า เพราะจะยิ่งทำให้ตับพัง
พวกนี้ก็กินมาตลอดเป็นปี สรุป เพื่อนเค้า 2 คนตายเนื่องจากตับวาย
ตัวเค้าก็ไม่กล้ากินยาอีก แต่มีคนแนะนำให้เค้าไปแช่น้ำทะเล
เค้าก็ไปแช่ทุกวัน เป็นเดือน ๆ สรุปว่าเค้าหาย
เค้าก็มาแนะนำฉิน
ฉินก็เลยลองไปเล่นดู ยุบตั้งแต่ครั้งแรกเลยคับ คือแบบดีอะ
ดีงามมาก
ตอนแรกก็ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ก็รู้สึกว่าจะไม่พอ
ไปเจอบทความหนึ่งของเมืองนอก 
เค้าบอกว่าให้ไปแช่ทุกวัน ๆ ละ 20 นาที

Recent in vivo and in vitro studies lend credence to the common practice of applying seawater to inflamed skin. In acute eruptions of atopic dermatitis, seawater exhibited antipruritic effects as evaluated by a significant reduction of visual analogue scores for itching (1). In the setting of irritant contact dermatitis, Pacific ocean water compresses significantly decreased transepidermal water loss (TEWL) and increased skin capacitance compared with the deionized water control when the compresses were applied for 20 minutes at a time for several times over the course of two weeks (5). TEWL measures water barrier disruption, while capacitance measures stratum corneum water content. Thus, the results provide evidence for seawater’s ability to inhibit skin barrier disruption and inhibit stratum corneum dryness in irritant contact dermatitis. Seawater has also been shown to be of benefit in psoriasis. In a randomized, double-blinded, controlled study, Dead Sea
1 salt baths, containing a high mineral composition, were administered daily at 358
C for 20 minutes for three weeks. Relative to the distilled water control, Dead Sea salt baths significantly decreased psoriasis area and severity index (PASI) scores in psoriasis vulgaris patients immediately after treatment, with therapeutic effects still significant one month after the treatment ended. However, there was no statistical difference in PASI scores and patient subjective evaluations between the treatment group that received Dead Sea salt baths and the group that received common salt baths [mostly sodium chloride (NaCl)] of the same osmolality.
While this study supports seawater’s therapeutic effects, it suggests that osmolality, instead of ion character, may act as the active component in seawater therapy



ให้แฟนเพจ No Sebderm ช่วยแปลได้ความว่า 
การศึกษาในหลอดทดลองและในสิ่งมีชีวิต
มีหลักฐานที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการใช้น้ำทะเลบำบัดผิวที่อักเสบ
ในกรณีของผิวอักเสบร้ายแรง
น้ำทะเลช่วยให้ผลในการรักษาอาการคันที่ลดลดอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีการรักษาผิวอักเสบที่ระคายเคืองด้วยการ
ประคบด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL)
และเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ (capacitance)
เมื่อเทียบกับใช้น้ำที่ได้รับการขจัดอิออนออกไป
เมื่อประคบไว้ 20 นาทีต่อครั้ง หลาย ๆ ครั้งเป็นเวลาสองสัปดาห์ TEWL
ใช้วัดการหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ
และ capacitance ใช้วัดปริมาณน้ำที่ชั้นบนสุดของหนังกำพร้า
ผลการศึกษานี้จึงให้หลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของน้ำทะเล
ในการยับยั้งการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง และยับยั้งความแห้งที่ชั้นบนของหนังกำพร้า
ในกรณีของผิวอักเสบที่ระคายเคือง
และยังพบว่าน้ำทะเลมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ในการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมโดยไม่ให้ผู้ป่วยที่สุ่มมาทราบว่าตนเองได้ยาชนิดใด
โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำจากทะเลเดดซีที่มีแร่ธาตุสูงที่ 358 C เป็นเวลา 20 นาที
เป็นเวลาสามสัปดาห์ เมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
ปรากฎว่าน้ำจากทะเลเดดซีช่วยลดบริเวณที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงิน
และคะแนนความรุนแรงของโรค (PASI) ลดลงทันทีที่ได้รับการรักษา
โดยผลการรักษายังคงอยู่เมื่อหยุดรักษาแล้วหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของคะแนน PASI
ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำจากทะเลเดดซีและกลุ่มที่ได้รับน้ำทะเลทั่วไป
การศึกษานี้สนับสนุนผลของการใช้น้ำทะเลเพื่อการบำบัด
และแสดงว่าองค์ประกอบที่ช่วยกักเก็บน้ำในน้ำทะเล
มากกว่าจะเป็นลักษณะของปะจุในน้ำ ที่เป็นตัวช่วยรักษา
ขอบคุณแฟนเพจด้วยครับที่ช่วยแปล

อ้างอิงจาก https://aucops.files.wordpress.com/2013/04/handbook-of-cosmetic-science-and-technology-third-edition.pdf


เลยไปบ่อยหน่อย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
แล้วก็ไปกรอกน้ำทะเลใส่ขวดมาล้างหน้าที่บ้านทุกวัน
เช้า 10 นาที เย็น 10 นาที
โชคดีที่จังหวัดที่อยู่มีทะเล ห่างไปประมาณ 15 กิโล
ขี่มอไซด์ไปแปปเดียวก็ถึง
และโชคดีอีกตรงที่ว่า หาดนี้คนน้อย ทะเลใส เรือก็แทบไม่มี
ไม่ต้องกลัวน้ำสกปรกเลย




ถ้าใครสนใจจะใช้วิธีนี้ก็เลือกหาดหน่อยนะคับ
ประเภทมีขี้ม้า เยี่ยวม้ากองเต็มหน้าหาดก็ไม่ไหวนะ
หรือเรือที่ปล่อยน้ำมันออกมาเยอะ ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
นอกจากจะไม่หายแล้ว ยังได้ผื่นกลับมาอีกแน่ ๆ

ผลการรักษาโดยใช้น้ำทะเลบำบัดเป็นเวลา 3 เดือนคือ ก.ค.- ก.ย.
ได้ผลดังนี้


ส่วนตัวช่วยที่ใช้ในการบำรุงผิวหน้าก็มี 2 ตัวนี้คับ


ตัว Biotherm Life Plankton เป็นแบคทีเรียที่ดี
ปกติผิวที่อ่อนแอ หรือผิวบาง จะมีแบคทีเรียที่ไม่ดีอยู่เยอะ
การใช้แบคทีเรียที่ดีช่วย จะทำให้สมดุลของหน้าดีขึ้น
มีงานวิจัยออกมาว่าตัวนี้สามารถลดผดผื่นได้ในระดับหนึ่ง
ช่วยลดอักเสบได้

ส่วน Ezerra ก็เป็นตัวลดผื่นเด็ก สามารถลดอักเสบได้
หมอเคยบอกว่า เราต้องหาตัวลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
ไม่จำเป็นต้องใช้แบบฉินก็ได้นะ เอาที่ผิวเราชอบ 
เพราะแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน
เจอหลายคนเหมือนกันว่าใช้ 2 ตัวนี้แล้วแพ้
ก็ต้องหาตัวอื่นช่วยแทน

ส่วนคนที่อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ทำไว้ให้แล้วคับ ลองเข้าไปดูได้
http://chinachinychin.blogspot.com/2015/01/blog-post.html
อาจไม่ครบทุกตัว แต่ก็หาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาให้ได้แล้วคับ
ส่วนคนที่อยากหยุดสเตียรอยด์แนะนำให้อ่านอันนี้
เป็นแนวทางในการดูแลตัวเองหลังหยุดสเตียรอยด์
http://chinachinychin.blogspot.com/2014/03/blog-post_4.html

และใช้ไปสักระยะหนึ่ง 5-6 เดือน แล้วค่อย ๆ หยุดไป
เช่นจากทาเช้าเย็น ก็อาจจะเหลือแค่ตอนเย็นต่ออีก 5-6 เดือน
ผิวเวลามันไม่อักเสบนาน ๆ มันจะค่อย ๆ ซ่อมตัวเอง
ระยะเวลาที่ผิวจะซ่อมตัวเองคือ 30 วัน โดยประมาณ
ทุก 30 วันผิวถึงจะสร้างใหม่ ถ้าไม่ดี ก็ต้องรออีก 30 วัน
ยิ่งถ้ามันอักเสบบ่อย ๆ ผิวก็จะไม่ซ่อม หรือจะช้า คือใช้เวลานานกว่า 30 วันกว่าจะสร้างใหม่
การขัดหน้าแรง ๆ ทาครีมแรง ๆ ก็จะทำให้ผิวเสียได้ อย่าไปยุ่งมันดีที่สุด
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กว่าผิวเราจะกลับมาแข็งแรงได้จึงใช้เวลาเป็นปี ๆ
พอหน้าแข็งแรงแล้วค่อย ๆ หาตัวเสริมความแข็งแรงให้ผิว

หลังจากนี้ฉินก็คงจะใช้วิธีนี้บำบัดไปเรื่อย ๆ ละคับ
แนวโน้มมาดีมาก
จากที่ช่วงแรกที่เล่นน้ำทะเล ผื่นจะมาทุก 3 วัน
แต่ทุกวันนี้ผื่นไม่ค่อยมาแล้ว น้อยมาก ๆ ถึงจะขึ้น และขึ้นก็น้อยมาก ๆ อีกเช่นกัน
ทำให้รู้ละว่ามาถูกทางแล้ว

ส่วนเรื่องดูแลตัวเองฉินยังดูแลตัวเองดีเหมือนเดิม
คือนอน 4 ทุ่ม
ทานผัก ผลไม้ทุกวัน ให้ได้ 5 สี สลับ ๆ กันไป
ฟักทอง มะระ ตำลึง แครอท มะเขือเทศ บล๊อคลอรี่ ผักบุ้ง กระเทียม
ยอดฟักทอง ยอดมะระ ถั่วพลู 
น้ำบัวบก น้ำย่านาง น้ำอัญชัน น้ำทับทิม
กล้วย แอปเปิ้ล สัปรด 

(หาผัก ผลไม้ปลอดสารพิษด้วยก็ดีนะคับ
หรือไม่ก็หาผัก ผลไม้ตามฤดูกาลก็จะดี 
เลี่ยงผักที่ใช้ยาฆ่าแมลงเยอะๆ เช่นคะน้า ผักกาดขาว
เพราะผัก ผลไม้สมัยนี้ยาฆ่าแมลงเยอะ)
ไข่ ปลา หมู ไก่ งดอาหารทะเล เพราะรู้สึกว่าเวลาทานแล้วผื่นจะขึ้น
ตื่น 6 โมงเช้า มาดื่มน้ำไม่เย็น 1 แก้วรวด 
แล้วก็เข้าห้องน้ำขับถ่ายให้เป็นปกติ
ถ้ามีเวลาก็ตากแดดตอนเช้าบ้างสัก 15 นาที
ดื่มน้ำไม่เย็นเรื่อย ๆ ให้ได้วันละ 8-10 แก้ว
ผัก ผลไม้เหล่านี้จะมีสาร antioxidant ที่สำคัญในการซ่อมผิว
และช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการซ่อมผิวคือช่วง 4 ทุ่ม – ตี 4 
เพราะร่างกายจะหลั่งสาร growth hormone และ melatonin ออกมาเพื่อช่วยในการซ่อมผิว ยิ่งพักผ่อนเยอะ ผิวยิ่งซ่อมตัวเองได้ไว
ทำแบบนี้มา 2-3 ปีแล้ว
ชดเชยจากที่เราไม่เคยดูแลตัวเองมาตลอด 
ตอนนี้ก็อายุ 37 แล้ว
อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน 
ไม่สายไป หากคิดจะเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง


เรื่องที่เขียนทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว
ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีผู้ใด
ทำขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทานให้คนที่อยากหยุดสเตียรอยด์ได้ศึกษา
ให้ตระหนักถึงการใช้สเตียรอยด์แบบผิดวิธี เป็นระยะเวลานาน ๆ
ใส่ใจดูแลสุขภาพ
และเป็นแนวทางในการรักษาแบบเสียเงินน้อยที่สุด
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณครับ

ส่วนคนที่สนใจสามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ที่เพจ No Sebderm
https://www.facebook.com/No-Sebderm-463320630422857/timeline/

ส่วนคนที่สนใจในน้ำทะเล ให้ติดต่อที่เพจ Sea Water น้ำทะเลบำบัด
https://www.facebook.com/Sea-Water-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-1123563914341770/























 

ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวติดสเตียรอยด์

ไม่ได้เขียนบล๊อกนานมาก มัวแต่ตอบคำถามในเพจ No Sebderm อยู่
หลังจากที่รับปรึกษามาเกือบ ๆ 2 ปี ทำให้รู้ว่ามีอะไรบ้างที่ใช้ได้ ใช้ไม่ได้ หรือพอใช้ได้
วันนี้จะมาเขียนผลิตภัณฑ์สำหรับผิวติดสเตียรอยด์ 
ที่ไม่อยาก ทาสเตียรอยด์แล้ว
แล้วต้องการกลับมาดูแลผิวตัวเอง พักฟื้นผิว และแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ที่สำคัญคือความอดทน เพราะยังไงก็ต้องเห่อ
ต้องทนให้ได้นะคับ

**ก่อนใช้อะไรก็แล้วแต่ ควรเทสก่อน
วิธีเทสครีมที่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะลดความเสี่ยงได้มากสุด
คือ เทสท้องแขนตอนเช้า ถ้าเย็นไม่แพ้
แสดงว่าไม่มีสารที่เราแพ้ ตกเย็น หลังอาบน้ำ
ให้แต้มจุดเล็กๆ ที่หน้า
เลือกดูว่าส่วนไหนบางสุด ดูอาการตอนเช้า
ถ้าเอาให้ชัวร์ เทสจุดเดิมๆ 3-7 วัน
บางคนวันแรกไม่แพ้ มาแพ้วันที่ 7 ก็มี เช่นฉินนิแหละ 

ชอบมาแพ้วันที่ 5-7
จริงๆ ไม่น่าเรียกแพ้ เพราะทาแขนไม่เป็น
เรียกผิวไวครีมดีกว่า
อย่างน้อยถ้าเห่อก็จุดเล็กๆ จุดเดียว
ดีกว่าเห่อทั้งหน้า

(ไม่มีอะไรที่ใช้ได้กับทุกผิว ทุกตัวที่ว่ามา 
มีคนใช้ได้ และใช้ไม่ได้เหมือนกันหมด)

เริ่มเลยละกัน


. ฟิซิโอ เอไอ ซื้อร้านยา และร้าน Boots ที่อยู่ตามห้างทุกสาขา
ลดอักเสบ ลดอาการหน้าแห้ง แดง ลอกได้ดี ปลอดภัย พอดีขึ้นให้ลดระดับการทา เหลือทาบาง ๆ เพราะทาแล้วหน้ามันมาก หนักหน้าสุดๆ
แต่คนก็ดีขึ้นเพราะตัวนี้เยอะทีเดียว
คนอุดตันง่ายอาจจะไม่เหมาะกับตัวนี้




อีกตัวคือฟิซิโอเจลครีม ตัวธรรมดา
ตัวนี้ไม่มีสารลดอักเสบ แต่มีสารให้ความชุ่มชื้น ไม่หนักหน้าเท่า เอไอ สำหรับผิวที่ไม่แห้งมาก ไม่เหนียวหน้า ซึมเร็ว หลาย ๆ คนก็ชอบตัวนี้มากกว่า เพราะสบายหน้ากว่า


. Ezerra Cream หาซื้อได้ที่ร้านยา ลดผดผื่น หรือผื่นแพ้ได้
ปกติเค้าเอาไว้ให้เด็กน้อยใช้ลดผื่นผ้าอ้อม แต่สำหรับผื่นสเตียรอยด์ ใช้ได้เหมือนกัน มีสารลดอักเสบผิวได้






.ฮาดะ ลาโบ ขวดสีขาว มีขายที่เซเว่น ขวดเล็ก, วัตสันจะมีทั้งขวดใหญ่ และเล็ก
 ด้วยสาร Hyaluronic Acid ที่ช่วยเติมน้ำใต้ผิว ก็ทำให้ผิวชุ่มชื่นได้
สามารถใช้คู่กับพวกฟิซิโอ หรือ Ezerra ได้ โดยลงตัวนี้ก่อน แล้วค่อยตามด้วยครีม
ถ้าคนที่ไม่แพ้ตัวนี้ใช้ได้ยาว ๆ เลยคับ ไม่มีอันตราย  ใช้ได้ดีทีเดียว



Hada Labo Perfect Gel สีทอง

ขอบคุณรูปจาก http://www.techyladygogo.com/2014/05/review-hada-labo-perfect-gel.html     
 ตัวนี้คนในเพจส่วนใหญ่บอกว่าดีกว่าขวดขาวด้านบน 
คนแพ้น้อยกว่า ให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่า อาจเพราะเค้าทำโมเลกุลเล็กลง ทำให้ลงลึกได้มากกว่าเดิม มีคอราเจน เติมความชุ่มชื้นให้ผิวเพิ่มขึ้นจากไฮยา และมีเซราไมด์ เสริมความแข็งแรงให้ผิว
ไม่มีน้ำหอม สี แอลกอฮอล์ แต่มีพาราเบน คนแพ้ก็ระวังหน่อยนะ 
หลายคนใช้แล้วบอกว่าดีจริง แต่คนแพ้เจลก็ไม่แนะนำนะ
ฮาดะถ้าจะเทส ในเซเว่นจะมีขวดเล็ก ๆ อยู่
ซื้อมาเทสก่อนก็ดีนะ ร้อยกว่าบาท อย่าเพิ่งไปซื้อขวดใหญ่ในวัตสัน
ใช้ไม่ได้จะได้ไม่ต้องเสียดายมาก
 
 

Biotherm life plankton essence
ตัวนี้ฉินใช้อยู่ ดีนะ ลดอักเสบได้ เวลาผื่นตีกลับมามันจะน้อยกว่าเดิม ส่วนคุณสมบัติ ลองเข้าไปอ่านที่คุณปูเป้รีวิวได้ที่นี่เลยคับ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pupesosweet&month=18-04-2014&group=9&gblog=109
มีน้ำหอม เทสก่อนนะคับ หลายคนแพ้เหมือนกัน
ซื้อที่เคาร์เตอร์ Biotherm ในเดอะมอลล์ เซ็นทรัลครับ



olay miracle boost

มีวิตามินบี 3 
มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
และหากมีความเข้มข้นมากพอ 4-5% ก็สามารถลดการอักเสบของสิวได้ด้วย ซึ่งดูจากแฟนเพจที่เคยใช้ 
คนที่เป็นสิวอักเสบมาก ๆ ใช้ตัวนี้แล้ว สิวอักเสบลดลง 
รอยแผล รอยสิวจางลงมากเลยทีเดียว
และมีสารลดอักเสบจากพืชด้วย
แต่ข้อเสียคือมี Benzyl Alcohol ผิวอ่อนแอ อาจจะไวต่อตัวนี้
ทำให้ผื่นขึ้นได้

La roche posay cicaplast baume b5
ลดอาการหน้าแห้งลอกได้ดี
เนื้อครีมบางเบา ไม่เหนียวเหนอะ
ทาเสร็จแล้วผิวจะเนียนๆ
จากที่ดูส่วนผสมแบบมือใหม่หัดวิเคราะ
(ผิดพลาดประการใดก็ขออภัย)
มี panthenol หรือวิตามินบี 5 ที่ช่วยลดอักเสบ
ลดการระคายเคือง ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดหน้าแห้งลอก
ลดผื่นคันได้ดี
ในนี้ใส่มาถึง 5%
มี shea butter เป็นกรดไขมัน ที่ช่วย barrier ให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้
มีสารเคลือบผิวด้วย
และสารคุมมัน ทำให้ทาแล้วหน้าไม่มัน
หาซื้อได้ตามวัตสัน บูท ร้านยาได้เลยคับ
ราคา 400 กว่าบาท



lipo balance eucerin
เชียบัตเตอร์และกลีเซอรีนที่ช่วยให้ผิวแห้งมาก ๆ 
ลดอาการแห้งลอกได้
มีวิตามินบี 5 ที่ลดอักเสบผิวได้ดี
และมี Ceramide 3 ที่มีส่วนช่วยในการซ่อมผิวได้
ข้อเสียคือมีพาราเบน พวกกันเสียคับ
แถมเป็นแบบกระปุก มีโอกาสทำให้เชื้อโรคลงไปได้ เวลาตักครีม
ใช้คัตตอลบัท แทนนิ้วตักก็ได้คับ
ตัวนี้หาซื้อง่าย ร้านยา วัตสัน บูท มีหมด

Cerave PM
ตัวนี้ส่วนของน้ำ มี Glycerin กับ Hyaluron เป็นสารดึงน้ำ ส่วนของน้ำมัน มี Capric/caprylic triglyceride เป็นไขมันความยาวปานกลาง กับมหกรรมแห่ง Ceramides และ Cholesterol

สารพิเศษอื่นๆ มี Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

ความสมบูรณ์ของการสร้าง Barrier ครบถ้วนทั้ง Ceramide, Fatty acid และ Cholesterol
ความสมบูรณ์ในการเป็น Moisturizer ตัวนี้ทำมาได้ค่อนข้างดี มี Dimethicone คอยเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น
คุณสมบัติพิเศษ วิตามินบี 3 กระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์ ลดการอักเสบในผิว และช่วยลดจุดด่างดำได้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลที่ได้มาจากอาจารย์มี่ครับ http://pantip.com/topic/33431569 




ยูเซอริน แอคทีฟ แคร์ 

ช่วยลดวงจรผิวแห้ง แดง คัน ระคายเคือง มีบทพิสูจน์ประสิทธิภาพเทียบกับ1%Hydrocortisone สามารถช่วยลดปริมาณการใช้สเตียรอยด์ลงได้ ด้วยนวัตกรรมของ 
โอเมก้า ออยล์ สารสกัดธรรมชาติจาก อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ และ เกรป ซีด ออยล์ 
ช่วยเสริมชั้นปกป้องผิวที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้น, ลิโคชาลโคน เอ สารสกัดจากรากลิโคริค 
ช่วยปลอบประโลมผิว ดีแคนไดออล และ เมนท็อกซี่โพแพนไดออล ช่วยลดการคัน 
และความรุนแรงของปัญหาผิว ให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น 
ใช้ทาผิวได้บ่อยตามต้องการในบริเวณที่แห้ง คัน และระคายเคืองมาก 
ปราศจากน้ำหอม สี และสารกันเสีย พาราเบน สูตรอ่อนโยน ปลอดภัยสามารถใช้ได้แม้ในผิวเด็กทารก



. Atopiclair  
นิยมใช้กันมากตามโรงพยาบาล ร้านยามีบางร้าน ร้านใหญ่ ๆ จะมี 
ผิวที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง เหลือรอยแดงนิดหน่อย ลอกนิด ๆ จะใช้ดี
หรือถ้าผิวมีเชื้อรา ก็จะใช้ดี เพราะเค้ามีไพรอคโทนตัวที่ยับยั้งเชื้อยีสต์ เชื้อราได้ด้วย
แต่คนที่พี่หยุดสเตียรอยด์น่าจะไม่ค่อยเหมาะเพราะมีแอลกอฮอล์
แล้วก็ sodium hydroxide ผิวที่บางมาก ๆ จะไวต่อสารพวกนี้ แล้วอาจจะเกิดอาการแพ้ได้


. Atopalm intensive moisturizing cream 
มีขายตามร้านขายยาบางแห่ง
ลดอาการหน้าแห้งลอกได้ดี มีความสมบูรณ์ของการสร้าง Barrier มีครบทั้ง Ceramide, Fatty acid และ Sterols แม้จะไม่ได้ให้มาตรงๆ แต่ผิวก็จะเอาไปเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ผิวต้องการได้
ความสมบูรณ์ในการเป็น Moisturizer ตัวนี้ทำมาได้ค่อนข้างดี มีสารดึงน้ำ สารไขมันที่ดูดซึมได้ และ อาศัย Dimethicone เป็นสารเคลือบผิวคุณสมบัติพิเศษ ลดการอักเสบผิว 



Emutopic
ตัวนี้เห็นว่าลดอักเสบได้ดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวชั้นบน
เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะทำให้ผิวชั้นบนกลับมาแข็งแรง
มีงานวิจัยออกมาว่าช่วยลดการใช้สเตียรอยด์ได้
แต่ทาแล้วผิวมันมาก ๆ คับ
บ้านเราไม่มีขายคับ ต้องหาซื้อในเน็ต

ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปอ่านได้ที่นี่คับ
https://mbasic.facebook.com/madamgreanFC/photos/a.559421157406028.138759.559375250743952/897696713578469/?type=1





.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กับน้ำมันมะกอกสกัดเย็น
เหมาะกับผิวแห้ง ลอก แดง แต่ไม่มาก ต้องการพักผิวจริง ๆ เพราะไม่มีสารเคมีอะไรเลย
ไม่เหมาะกับผิวเป็นสิว เพราะแบคทีเรียเดินทางโดยน้ำมันบนหน้า สังเกตุคนหน้ามันจะสิวขึ้นง่าย
และขึ้นเยอะ ถ้าใช้ตัวนี้อีกอาจจะขึ้นเต็มหน้าได้
ถ้าอยากให้หน้ามัน ๆ หน่อยก็น้ำมันมะพร้าว
ถ้าอยากให้มันน้อยหน่อยก็น้ำมันมะกอก
สองตัวนี้ไม่เหมาะทากลางวันเพราะจะทำให้ผิวไวแสง หน้าดำได้
ทาแล้วนอนเลย ทาตอนหน้าเปียก ๆ ก็ได้ จะได้ไม่เหนียวหน้า




. เจลว่านหางจระเข้ ของ Vitara หลอดสีขาว หรือ Burnova Gel ร้านยามี วัตสันมี
ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ แต่มี sodium hydroxide ที่บางคนอาจจะแพ้ได้
แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่ใช้ได้ดีทีเดียว
เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิว ผิวไม่แห้งมาก ต้องการพักผิว
พวกผิวผิวที่ผ่านครีมในเน็ตที่มีสเตียรอยด์ ใช้แล้วสิวเห่อเต็มหน้า
ยังไงก็ต้องพักผิว ปล่อยให้สิวออกมาให้หมด 





. Babini ของ Provamed มีสารจากหอมหัวใหญ่ ว่านหาง แล้วก็เมล็ดทานตะวัน
ลดการระคายเคืองของผิวได้ แต่เทสก่อนนะ บางคนอาจแพ้หอมหัวใหญ่


. Bio Oil น้ำมันสกัดจากพืชธรรมชาติ
มีสารเคลือบผิว ป้องกันอากาศทำร้ายผิว 
และสารลดการอักเสบของผิว
แต่คนที่แพ้เกษรดอกไม้ แล้วก็น้ำหอมอาจจะไม่เหมาะ


. Cetaphil Ultra hydrating lotion
โลชั่นสำหรับผิวแห้ง ลดการอักเสบของผิว
แต่ก็มีสาร sodium hydroxide ที่คนผิวบางอาจจะไวต่อสารตัวนี้ได้


. Bioderma hydrabio serum ตัวนี้หายากหน่อย 
ต้องดูในห้างที่มีบูท Bioderma
หรือวัตสันก็ได้ เคยเห็นอยู่
มีสารลดการอักเสบของผิวหนัง กับมีสารเติมน้ำใต้ผิวด้วย


โดยปกติแล้วสเตียรอยด์มักจะกดการแบ่งเซลล์ผิว ทำให้ผิวบาง
แต่หลังจากหยุด ผิวจะกลับมาแบ่งตัวเองใหม่
บางคนแบ่งได้ บางคนแบ่งได้แต่ไม่ดี ทำให้ผิวกว่าจะกลับมาแข็งแรงจะช้ามาก
บางคนหลักเดือน บางคนหลักปี
ยิ่งถ้าไปติดเชื้ออะไรเพิ่ม จะยิ่งทำให้ผิวซ่อมตัวเองได้ช้าไปกันใหญ่
หรือแม้แต่ดีขึ้นแล้ว แต่หากไปใช้ผลิตภัณฑ์พวก AHA, ไวท์เทนนิ้ง ที่มีพวก อาร์บูติน ใช้นาน ๆ ผิวก็อาจจะกลับไปบางได้อีกเช่นกัน



***เพิ่มให้อีกนิด สำหรับผิวที่ใช้สเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน ๆ ผิวจะบาง
เวลาที่หยุดสเตียรอยด์ มักจะติดเชื้อได้ง่าย และจะมีอาการคันรุนแรง
สามารถใช้ยาควบคู่ด้วยได้คับ
ตัวแรก ซีสทราน ครีม แก้แพ้ แก้คันแบบทา
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้นะคับ



เซลซั่ล ยาสระผมที่ช่วยลดเชื้อรา เชื้อยีสต์
บ้านเราเป็นกันเยอะ เพราะเชื้อรา เชื้อยีสต์มีอยู่ทุกที่ 
ผิวปกติจะสามารถอยู่ร่วมกับเชื้อพวกนี้ได้
แต่หากผิวอ่อนแอ และบางมาก ๆ จะทำให้ผิวติดยีสต์ และราได้

เคยไปหาหมอ หมอให้ใช้ หมอบอกว่า พวกนี้ถึงจะเป็นยาสระ ก็สามารถเอามาฟอกหน้าได้ไม่ต่างจากโฟมล้างหน้า
แต่วิธีคือวันแรกให้ฟอกแล้วทิ้งแค่ 1 นาทีก่อน แล้วล้างออก
ถ้าไม่แพ้ ให้ใช้เช้าเย็น ดู 3 วัน หากอาการเริ่มสงบลง
ให้ทิ้งสัก 5 นาที จนครบ 7 วัน หากดีขึ้นจนผิวกลับเป็นปกติ
ให้ใช้ต่อจนครบ 3 อาทิตย์
แล้วอาทิตย์ที่ 4 ให้ทิ้งช่วงวันเว้นวัน
อาทิตย์ที่ 5 ให้ลดเหลือ 2 วันครั้ง แล้วหยุดดู

ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้นะคับ
เพราะยาพวกนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
หากทาเองเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ผิวเสีย 
และเกิดอาการราดื้อยาได้



มาถึงตัวล้างหน้ากัน
1. เซตาฟิว ซื้อได้ตามร้านขายยา หรือวัตสัน


2. ฟิซิโอ ซื้อร้านยา หรือวัตสัน 

3. COS ซื้อได้ที่วัตสัน
อันนี้สำหรับผิวแพ้ง่าย





อันนี้สำหรับผิวเป็นสิว

ที่เหลือก็แล้วแต่เลยคับ จะใช้สมูทอี หรือยูเซอร์รีนก็ได้
ถ้าใช้แล้วไม่แพ้ใช้ได้เลยคับ
อย่าไปใช้พวก ไวท์เทนนิ่ง หรือพวกที่มีเม็ดบีทสครัปผิวก็พอ

กันแดด
จริง ๆ ไม่ค่อยอยากให้ทาเท่าไหร่
เพราะผิวเซบเดิร์มกับผิวติดสเตียรอยด์ใช้กันแดดไม่ค่อยได้
ปกติถ้าแต่ไปทำงาน ออกไปกินข้าว วันทั้งวันอยู่แต่ในที่ทำงาน
ไม่ต้องทาก็ได้คับ ทานผัก ผลไม้เยอะ ๆ ก็พอ
แต่เห็นอยากใช้กันก็เอามาให้เลือกนิดหน่อยละกันนะ
บางคนใช้ไม่ได้ ยี่ห้อไหนก็ใช้ไม่ได้คับ
ไม่มีเคมี ก็มีแอลกอฮอล์ ไม่ก็น้ำหอม

1.ตัวซ้าย สมูทอี กันแดดชนิดไม่มีเคมี SPF 52
อยู่ได้ประมาณ 5 ชั่วโมง
สำหรับผิวแห้งมาก หาซื้อได้ง่าย ๆ ร้านยา หรือ วัตสัน
ตัวขวา Biore Aqua rich แบบน้ำ SPF 50
อยู่ได้ประมาณ 5 ชั่วโมง
สำหรับผิวอุดตันง่าย ผิวมัน แต่แอบมีแอลกอฮอล์นะ
หาซื้อง่าย ๆ เซเว่น ร้านยา หรือวัตสัน

2. Spectraban SPF 60 อยู่ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง

3. Eucerin Sun Fluid Mattifying Face Dermo-Antipigment 
SPF 50 ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าผสมสารป้องกันแสงแดด สำหรับผิวหน้าไวต่อแดดมากพิเศษ


 
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำทุกตัวสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
ก่อนใช้ควรเทสใต้ท้องแขนก่อน 12 ชม.
หากเกิดอาการแพ้ควรรีบปรึกษาแพทย์

แชมพู
หลาย ๆ คนมีอาการคันหัว และเป็นรังแค
ซึ่งจะเรียกว่าเซบเดิร์มที่หัวก็ได้ แล้วแต่
เพราะขนาดเซบเดิร์มที่หน้า ยังเรียกรังแคที่หน้าเลย
เท่าที่ศึกษามาแบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง
เอาเป็นว่าบอกเท่าที่รู้ละกันนะ 
ผิดถูกยังไงก็ขออภัย 
สาเหตุแรก 
บางคนเกิดจากการใช้แพ้แชมพู
อาจเพราะใช้แชมพูที่มีสารเคมีรุนแรง
ทำให้หนังศรีษะระคายเคือง
อันนี้ก็ลองหันมาใช้เป็นแชมพูเด็กไป 
สักพักจะดีขึ้น แล้วก็ใช้ไปตลอดเลยก็ได้นะ

สาเหตุสอง
เป็นเชื้อรา
อาจเกิดจากการสระผมตอนกลางคืนแล้วไม่ได้เป่าให้แห้ง
แล้วไปนอนเลย ทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศรีษะได้
ถ้าเพิ่งเป็นใช้เป็นพวก
*เฮดแอนด์โชว์เดอร์  
*คลีนิค เคลียร์
พวกนี้จะมีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
ใช้ไปสักพัก พอดีขึ้น ให้เปลี่ยนสลับไปใช้ร่วมกับแชมพูเด็กก็ได้

หรือจะลองเป็น 
ยูเซอริน เมน เดอร์โมคาพิลแลร์ แอนตี้แดนดรัฟ เจลแชมพู
มีสารเพิ่มความชุ่มชื่นให้หนังศรีษะ ลดอาการแห้งลอก
มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และแบคทีเรีย
มีสารลดอาการคัน

เซลซั่น ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดีสุด
ซื้อร้านยา หรือในห้างก็มีโซนซุปเปอร์

 หรือไนโซรัล แชมพูยา ฆ่าเชื้อรา
ซื้อร้านยา

ช่วงอาทิตย์แรก อาจสระวันเว้นวันก็ได้
พอดีขึ้นก็ให้ลดเหลืออาทิตย์ละ 2 วัน
แล้วก็ค่อย ๆ หยุดไป ใช้เป็นแชมพูเด็กแทน
แชมพูยาพวกนี้ไม่ควรใช้นาน ๆ 
เพราะอาจจะทำให้ราดื้อยาได้
หากราดื้อยาจะเป็นเรื่องใหญ่
และมันสามารถลามลงมาที่หน้า และตัวได้
หากผิวหน้า หรือผิวตัวอ่อนแอ
ส่วนใหญ่ผิวติดสเตียรอยด์ที่ติดรา ส่วนหนึ่งก็ลามมาจากหัวนิแหละ

ส่วนผิวกาย
หลาย ๆ คนเคยเอาสเตียรอยด์ทาตัวด้วย
ผิวก็จะบางได้ด้วยเหมือนกัน 
เวลาหยุด อาการจึงคล้าย ๆ กัน คือแห้ง แดง คัน ลอก
ต้องหาครีมที่ให้ความชุ่มชื่น
บางคนใช้ครีมทาหน้าเอามาทาตัวด้วย ก็ได้เหมือนกัน
อย่างเอาฟิซิโอ เอไอ มาทาผื่นที่ตัวก็ได้ 
แต่ถ้าคนเป็นเยอะ เอามาทาก็ดูจะไม่คุ้ม
หรือบางคนก็เอาน้ำมันมะพร้าวมาทาก็ได้นะ
หรือจะเป็นครีมบำรุงผิวธรรมดา ๆ ก็ได้คับ ถ้าแห้งไม่มาก 
แต่ถ้าแห้งมาก แนะนำตัวนี้คับ

ยูเซอริน คอมพรีท รีแพร์ มอยซ์เจอร์ โลชั่น
ลดอาการแห้งลอก คัน แดง ของผิวได้ดี
แต่มีเฉพาะโรงพยาบาลที่มีเคาร์เตอร์ยูเซอร์ริน
หรือหากใครจะตรวจสอบว่ามีรพ.ไหนบ้าง
ให้ไปถามที่เพจยูเซอรินเค้าเลยก็ได้คับ

https://www.facebook.com/EucerinClub?fref=ts



 

 
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนหายไว ๆ ครับ




ใครมีข้อสงสัยอะไรสามารถเข้าไปสอบถามได้ที่เพจ No Sebderm
https://www.facebook.com/pages/No-Sebderm/463320630422857




วิธีดูแลผิวหลังหยุดสเตียรอยด์ หรือผิวที่ติดสเตรอยด์ Steroid Addiction Skin


      สำหรับคนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์ จะมีอาการอยากยา หรือผิวเรียกร้องสเตียรอยด์
สิ่งที่สำคัญคือความอดทน เพราะผิวจะคัน แห้ง แดง ลอก ตึง 
บางรายมีน้ำเหลืองซึมตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะผิวที่เสียมาก 
     ผิวที่เสียมากจำเป็นต้องการการสร้างใหม่ ผิวจึงมีอาการอักเสบ แดงลอก เพื่อสร้างชั้นผิวใหม่
สิ่งที่ฉินทำและแนะนำได้เบื้องต้นคือบรรทาการอักเสบของผิว และให้ผิวซ่อมตัวเองได้เร็วขึ้น 
แต่ยังไงพวกคุณก็ยังต้องเจออาการเห่ออยู่ดี ฉะนั้น ให้ท่องเอาไว้ครับว่าอดทน
ฉินได้ทำตัวช่วยออกมาหลายตัวอยู่ซึ่งหลาย ๆ คนก็เห็นผลดี แต่ใช้เวลาแน่นอนครับ 
มีตั้งแต่ 1 เดือน – 6 เดือน 
ตัวอย่างนะครับ เผื่อเป็นกำลังใจ คนแรกใช้น้ำมันมะกอก คนที่สองใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นครับ


ก่อนจะไปดูวิธีการบำรุงผิว มีกฎข้อห้ามสำหรับโรคนี้อยู่ หากทำตามได้จะทำให้ผิวดีขึ้นไวครับ
กฎข้อห้าม Sebderm 
1. ห้ามดื่มแอลกอฮอลล์ 
2. ห้ามแกะ ห้ามเกา เพราะเล็บสกปรก จะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ทำให้ผื่นลามได้ 3. ห้ามนอนดึกเกิน 4 ทุ่ม เพราะผิวจะทำการซ่อมตัวเองช่วงที่หลับสนิท 4 ทุ่มถึง ตี 4 
4. ห้ามว่ายน้ำเพราะน้ำสระสกปรก และมีคอรีนค่อนข้างมาก จะทำให้หน้าแพ้ และแห้งมาก ๆ ได้ ห้ามโดนเหงื่อ แม้จะดีขึ้นแล้วก็ตามในช่วงแรก หากต้องการออกกำลังกาย ไม่ควรให้เหงื่อค้างบนหน้านานๆ เป็นชั่วโมง และเมื่อออกกำลังกายเสร็จควรล้างหน้าทันที และอย่าล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้ผิวมัน แต่ขาดความชุ่มชื้น 
5. เลี่ยงตากแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน ๆ เพราะแสงแดดจัดจะทำให้ผิวเสีย 
6. เลี่ยงลมแอร์เย็นจัด หรืออยู่ในที่ร้อนจัด 
7. อย่าเครียด 
8. อย่าใช้ครีมชวนเชื่อในเน็ต 
9. อย่าใช้ครีม Whitening หรือยาลบรอยดำ แดง รอยพวกนั้นจะหายไปเองเมื่อผื่นมีอาการดีขึ้น 
10. งดของทอด ของมัน ของหวาน ขนมปัง อาหารที่ไม่มีประโยชน์จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ป่วยง่าย ทำให้ภูมิตก ส่งผลให้ผื่นตีกลับได้ (เน้น ทานผัก ผลไม้) 
11. ห้ามดื่มน้ำน้อย ห้ามดื่มเยอะ ๆ ทีเดียว ให้ค่อย ๆ จิบทั้งวันให้ได้วันละ 2-3 ลิตร (เฉพาะคนที่ไตไม่มีปัญหา) 
12. ห้ามแต่งหน้า เพราะจะเป็นการรบกวนผิวจนเกินไป แป้งเด็กถ้าไม่แพ้น้ำหอมก็ทาหลังทาครีมได้ 1 ครั้ง 
13. ห้ามกลับไปใช้สเตียรอยด์ / Elidel / Protopic อีก 
14. ห้ามทำสีผม เพราะสีผมมีสารที่ทำให้ผิวคนเป็นเซบเดิร์มเกิดการระคายเคืองและเห่อได้ มันจะลามจากหนังศรีษะลงมา และจากผมที่โดนหน้าตลอดกรณีผมยาว 
15. ห้ามยิงเลเซอร์หน้าขาวใส หรือหลุมสิว เพราะจะทำให้ผิวอ่อนแอ ผื่นอาจตีกลับได้ 
16. ห้ามขัดหน้า นวดหน้า ถูหน้าตามแหล่งเสริมความงาม เพราะอาจจะแพ้ได้ 
17. เวลาแปรงฟัน อย่าให้ฟองมาโดนคาง และรอบปาก หากฟองล้นออกมาให้ใช้มือเปียกน้ำปาดออก หรือรีบบ้วนทิ้ง เพราะเคมีจากยาสีฟันอาจทำให้ผื่นขึ้นรอบปากได้ 
18. เวลาสระผม อย่าให้ยาสระผมโดนหน้า เพราะเคมีจากยาสระผมทำให้อาการเซบเดิร์มกำเริบได้ 
19. อย่าเข้าใกล้อะไรที่เป็นสารระเหย เช่นแอลกอฮอร์ น้ำยาล้างห้องน้ำ ทินเนอร์ เพราะสารระเหยเหล่านี้จะซึมเข้าไปในผิวได้ ก่อให้เกิดการระคายเคือง 
20. อย่าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ล้างหน้าน้ำเย็นดีที่สุด เพราะยิ่งจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น สูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผื่นหายช้ากว่าเดิม

**
จริง ๆ อาหารทะเลไม่อยู่ในหมวดอาหารต้องห้ามนะคับ
แต่ที่บางคนทานแล้วผื่นขึ้นอาจจะเป็นเพราะแพ้มากกว่า
แต่ไม่ใช่อาหารทะเลทุกอย่างนะคับ
บางคนทานกุ้งได้ ทานปูไม่ได้
บางคนทานปูได้ ทานกุ้งไม่ได้
บางคนทานได้แต่ปลา
ส่วนคนที่ไม่แพ้ก็ทานได้ปกติ แต่ไม่ควรทานมากครับ
อาหารทะเลมีฤทธิ์ร้อน ควรทานผักเสริมด้วย
ร่างกายจะได้ไม่เสียสมดุล
ส่วนอาหารเผ็ดร้อน
หลายคนทานแล้วผื่นขึ้นรอบปาก แล้วก็ลามไปทั่วหน้า
ก็ให้เลี่ยงไปก่อนนะคับ เพราะผิวบางมาก
พอเจ็ดเผ็ดร้อนก็เลยผื่นขึ้น
ยังไงลองสังเกตุตัวเองดูครับ

** 

หากคันและแสบร้อนมากในช่วงแรก สามารถใช้น้ำเกลือชุบสำลีแผ่น มาร์คหน้า
หรือใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ ซื้อแบบป้องกันไรฝุ่น 
ซักกับน้ำยาซักผ้าเด็ก ตากแดดจัด ๆ เพื่อฆ่าเชื้อ
ชุบน้ำดื่มเย็น ๆ โป๊ะหน้าไว้ 15 นาที เช้าเย็น
เพราะความเย็นจะทำให้ผิวลดอาการคัน แสบลงได้
บางคนอาจใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกใส ๆ ประคบหน้า (อันนี้ดูถุงด้วยนะคับว่าสะอาด)
บางคนใช้น้ำดื่มเย็น ๆ ล้างหน้าก็ได้เหมือนกัน
หรือบางคนใช้ถุงเจลเย็น แช่ตู้เย็นแล้วเอามาประคบช่วงคันตอนกลางคืนก็ได้

  

มีให้เลือกหลายแบบครับ เอาเป็นว่าลองอ่านดูว่าชอบแบบไหนก็เลือกเอาเลยนะครับ

โหมดน้ำมัน
เหมาะสำหรับคนที่อุดตันง่าย ไม่เป็นสิวอักเสบ ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย ๆ หน้าแดง บางคนอาจจะขึ้นเป็นผดเม็ดเล็กๆ คล้ายๆ สิวผด
คนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์แล้วต้องการใช้โหมดน้ำมันนะครับ
มีให้เลือก 2 น้ำมัน คือ
1. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
2. น้ำมันมะกอกบีบเย็น ต้องเขียนว่า Virgin Olive Oil ด้วยนะครับ
ทั้ง 2 อย่างสามารถหาซื้อได้ตามห้างโซนซุปเปอร์นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเดอะมอลล์ – เซ็นทรัล – บิ๊กซี – โลตัส
ของที่ต้องเตรียมคือ
1. น้ำเกลือล้างแผล ซื้อได้ตามร้านขายยา
2. น้ำมัน (แล้วแต่ว่าจะใช้น้ำมันอะไร)
3. พลูจีนอล ขององค์การเภสัช (ไว้สำหรับผิวช่วงแรกที่จะคันมาก ๆ ตัวนี้ลดคันได้ดี) ทาเฉพาะเวลาคัน ไม่คันไม่ต้องทา
…..
หาซื้อได้ที่ บูธ Curmin, Maxvalu บางสาขา หรือร้านขายยาบางร้านครับ
กรุงเทพฯมีที่ จามจุรีสแควร์ บันไดเลื่อนด้าน MK ชั้น 2 , ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ชั้น B ด้านเซ็นทรัล, เดอะมอลล์ บากะปิ ชั้น 2 Beauty Zone , โลตัส ลาดพร้าว ชั้น 2 หน้าบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 3, ศุนย์การค้าเซ็นจูรี่ ชั้น 2 , โรงพยาบาลตำรวจ, รพ.รามา โรงพยาบาลบางปะกอก 9, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระปิ่นเกล้า.โลตัสประชาชื่น, Maxvalu ในIndex. สาขาบางใหญ่,บูธ Curmin ที่เมกะบางนา
เพชรรัตน์ ท่าน้ำศิริราช, ร้านขายยาโอสถศาลา (คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) อาคารฝั่งตรงข้ามเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ (มาบุญครอง) ถนนพญาไท
หรือานขายยาองค์การเภสัชกรรม ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวม 9 แห่ง ดังนี้
– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา ราชเทวี (สำนักงานใหญ่) ตรงข้าม ร.พ.รามาธิบดี
เลขที่ 75/1 ถ.พระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร 0-2203-8846-9 โทรสาร 0-2644-6362

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา ยศเส ด้านข้าง ร.พ.หัวเฉียว
เลขที่ 693 ถ.บำรุงเมือง แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทร 0-2222-5931 โทรสาร 0-2226-0358

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา จรัญสนิทวงศ์ 22
เลขที่ 154/19-20 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทร 0-2411-2118, 0-2412-2884 โทรสาร 0-2412-2884

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา เทเวศร์ เยื้องธนาคารแห่งประเทศไทย
เลขที่ 226 ถ.สามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทร 0-2282-0729, 0-2282-1170 โทรสาร 0-2282-1170

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา รังสิต ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง
เลขที่ 370-371 ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130
โทร 0-2536-3526-7 โทรสาร 0-2536-3526-7

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา กระทรวงสาธารณสุข ตึกกรมการแพทย์ อาคาร 2 ชั้น 1
กระทรวงสาธารณสุข ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทร 0-2590-6034 โทรสาร 0-2951-0925

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม สาขาพัฒนาการ ปากซอยพัฒนาการ 68
92 ถ.พัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250
โทร 0-2322-6536 โทรสาร 0-2322-6536

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม สาขาเวชศาสตร์เขตร้อน ข้างธนาคารไทยพาณิชย์
420/6 อาคารวิทยบริการ ชั้น 1 อาคารเวชศาสตร์เขตร้อน ถ.ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร 0-2354-9061 โทรสาร 0-2354-9061

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
120 ม.3 ชั้น 1 อาคารศูนย์ประชุม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
โทร 0-2143-8768 โทรสาร 0-2143-8768


*** กรณีหาซื้อพลูจีนอลไม่ได้ แนะนำให้ทา systral cream แทนครับ เป็นยาแก้แพ้ แก้คันแบบทา
หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา แต่คนเป็นหนักมักไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ พลูจีนอลดีกว่า
4. กันแดด มีให้เลือก 2 แบบ
– ถ้าผิวไม่อุดตัน แนะนำให้ใช้ สมูทอี Smooth E Physical SunScreen SPF 52 (Non Chemical Sunscreen)
– ถ้าผิวอุดตันง่าย ใช้บีโอเร่ตัวนี้ครับ บางเบาดี Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+  PA+++



วิธีใช้
น้ำเกลือ กับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอก
1. ใช้สำลีแผ่นชุบน้ำเกลือเช็ดหน้า หรือจะเอามาโป๊ะมาร์คหน้าทิ้งไว้เลยก็ได้ 5-10 นาที แล้วเช็ดออกเบาๆ เช้าเย็น
2. หลังจากเช็ดน้ำเกลือแล้ว ตอนเช้าทาพลูจีนอล (หากคัน) และทากันแดดตัวเดียวก็พอ ไม่ควรทาน้ำมันตอนเช้า เพราะจะทำให้ผิวไวแสง และจะทำให้หน้าดำได้  
3. กลางคืน หลังจากเช็ดน้ำเกลือเสร็จ พรมน้ำที่หน้านิดหน่อยให้พอเปียกนิดๆ แล้วทาน้ำมันมะพร้าวบางๆ แล้วก็นอน  แต่ถ้าต้องการทาพลูจีนอลหลังเช็ดน้ำเกลือ ให้ทาพลูจีนอลบาง ๆ ทิ้งไว้ 30 นาที ให้ยาทำงาน แล้วค่อยลงน้ำมันมะพร้าวครับ

****
หลังจากนั้นก็รอให้ผิวซ่อมตัวเอง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนว่าถูกทำลายมาแค่ไหน และดูแลตัวเองดีแค่ไหน
ถ้าผิวซ่อมเร็ว 2-4 อาทิตย์ ผิวซ่อมช้า 1-3 เดือน ผิวซ่อมช้ามาก 3-6 เดือน
ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้น ลอกแห้งน้อยลง คันน้อยลง บางคนดีได้ถึง 90%
ช่วงแรกพอมันดีขึ้น อาจมีการเห่อซ้ำ 2-3 ครั้ง ทุก 3 อาทิตย์ ไม่ต้องตกใจครับ เพราะผิวจำเป็นต้องสร้างชั้นผิวใหม่
จะเห่อไม่เยอะ และไม่นานเท่าครั้งแรก ๆ
หลังจากที่ผิวดีขึ้น 70-90% แต่ผิวยังรู้สึกสาก ๆ อยู่ และคันอยู่บ้าง
มองภายนอกดูไม่ค่อยออกละว่าผิวมีปัญหา แต่ถ้าจับดูหน้าจะสากมาก

****

โหมดเจลว่านหางจระเข้ กับ Lotion
เหมาะสำหรับคนที่อุดตันง่าย เป็นสิวอุดตัน และสิวอักเสบ ผิวแห้งตึงไม่มาก ลอกเป็นขุย ๆ หน้าแดง บางคนอาจจะขึ้นเป็นผดเม็ดเล็กๆ คล้ายๆ สิวผด
คนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์แล้วต้องการใช้โหมดนี้

ของที่ต้องเตรียมคือ

1. น้ำเกลือล้างแผล ซื้อได้ตามร้านขายยา
2. เจลว่านหางจระเข้ ของVitaraก็ได้ ซื้อร้านขายยาก็มี วัตสันก็มี ไม่มีแอลกอฮอล์ และน้ำหอม
3. Lotion เบา ๆ สำหรับผิวแพ้ง่าย อย่าง Hada lobo ขวดสีขาว ซื้อวัตสัน เซเว่น 
4. พลูจีนอล ขององค์การเภสัช (ไว้สำหรับผิวช่วงแรกที่จะคันมาก ๆ ตัวนี้ลดคันได้ดี) ทาเฉพาะเวลาคัน ไม่คันไม่ต้องทา
…..
หาซื้อได้ที่ บูธ Curmin, Maxvalu บางสาขา หรือร้านขายยาบางร้านครับ
กรุงเทพฯมีที่ จามจุรีสแควร์ บันไดเลื่อนด้าน MK ชั้น 2 , ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ชั้น B ด้านเซ็นทรัล, เดอะมอลล์ บากะปิ ชั้น 2 Beauty Zone , โลตัส ลาดพร้าว ชั้น 2 หน้าบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 3, ศุนย์การค้าเซ็นจูรี่ ชั้น 2 , โรงพยาบาลตำรวจ, รพ.รามา โรงพยาบาลบางปะกอก 9, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระปิ่นเกล้า.โลตัสประชาชื่น, Maxvalu ในIndex. สาขาบางใหญ่,บูธ Curmin ที่เมกะบางนา
เพชรรัตน์ ท่าน้ำศิริราช, ร้านขายยาโอสถศาลา (คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) อาคารฝั่งตรงข้ามเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ (มาบุญครอง) ถนนพญาไท
หรือานขายยาองค์การเภสัชกรรม ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวม 9 แห่ง ดังนี้
– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา ราชเทวี (สำนักงานใหญ่) ตรงข้าม ร.พ.รามาธิบดี
เลขที่ 75/1 ถ.พระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร 0-2203-8846-9 โทรสาร 0-2644-6362

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา ยศเส ด้านข้าง ร.พ.หัวเฉียว
เลขที่ 693 ถ.บำรุงเมือง แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทร 0-2222-5931 โทรสาร 0-2226-0358

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา จรัญสนิทวงศ์ 22
เลขที่ 154/19-20 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทร 0-2411-2118, 0-2412-2884 โทรสาร 0-2412-2884

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา เทเวศร์ เยื้องธนาคารแห่งประเทศไทย
เลขที่ 226 ถ.สามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทร 0-2282-0729, 0-2282-1170 โทรสาร 0-2282-1170

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา รังสิต ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง
เลขที่ 370-371 ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130
โทร 0-2536-3526-7 โทรสาร 0-2536-3526-7

– ร้านยาองค์การเภสัชกรรม สาขา กระทรวงสาธารณสุข ตึกกรมการแพทย์ อาคาร 2 ชั้น 1
กระทรวงสาธารณสุข ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทร 0-2590-6034 โทรสาร 0-2951-0925

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม สาขาพัฒนาการ ปากซอยพัฒนาการ 68
92 ถ.พัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250
โทร 0-2322-6536 โทรสาร 0-2322-6536

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม สาขาเวชศาสตร์เขตร้อน ข้างธนาคารไทยพาณิชย์
420/6 อาคารวิทยบริการ ชั้น 1 อาคารเวชศาสตร์เขตร้อน ถ.ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร 0-2354-9061 โทรสาร 0-2354-9061

– ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
120 ม.3 ชั้น 1 อาคารศูนย์ประชุม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
โทร 0-2143-8768 โทรสาร 0-2143-8768


*** กรณีหาซื้อพลูจีนอลไม่ได้ แนะนำให้ทา systral cream แทนครับ เป็นยาแก้แพ้ แก้คันแบบทา
หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา แต่คนเป็นหนักมักไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ พลูจีนอลดีกว่า
4. กันแดด มีให้เลือก 2 แบบ
– ถ้าผิวไม่อุดตัน แนะนำให้ใช้ สมูทอี Smooth E Physical SunScreen SPF 52 (Non Chemical Sunscreen)
– ถ้าผิวอุดตันง่าย ใช้บีโอเร่ตัวนี้ครับ บางเบาดี Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+  PA+++



วิธีใช้
น้ำเกลือ
1. ใช้สำลีแผ่นชุบน้ำเกลือเช็ดหน้า หรือจะเอามาโป๊ะมาร์คหน้าทิ้งไว้เลยก็ได้ 5-10 นาที แล้วเช็ดออกเบาๆ เช้าเย็น
2. หลังจากเช็ดน้ำเกลือแล้ว ตอนเช้าลงเซรั่มก่อน แล้วค่อยลง Lotion (กรณีใช้ทั้งคู่ แต่ถ้าใช้ตัวใดตัวหนึ่งก็ทาแค่ตัวเดียว) แล้วก็ตามด้วยเจลว่านหาง (หากคันก็ทาพลูตัวสุดท้ายบาง ๆ ไม่ต้องลงกันแดดวันที่คัน วันไหนไม่ทาพลูค่อยทากันแดด ) 
4. กลางคืน หลังจากเช็ดน้ำเกลือเสร็จ ก็ทำเหมือนตอนเช้าคับ แต่ไม่ต้องทากันแดด

****
หลังจากนั้นก็รอให้ผิวซ่อมตัวเอง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนว่าถูกทำลายมาแค่ไหน และดูแลตัวเองดีแค่ไหน
ถ้าผิวซ่อมเร็ว 2-4 อาทิตย์ ผิวซ่อมช้า 1-3 เดือน ผิวซ่อมช้ามาก 3-6 เดือน
ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้น ลอกแห้งน้อยลง คันน้อยลง บางคนดีได้ถึง 90%
ช่วงแรกพอมันดีขึ้น อาจมีการเห่อซ้ำ 2-3 ครั้ง ทุก 3 อาทิตย์ ไม่ต้องตกใจครับ เพราะผิวจำเป็นต้องสร้างชั้นผิวใหม่
จะเห่อไม่เยอะ และไม่นานเท่าครั้งแรก ๆ
หลังจากที่ผิวดีขึ้น 70-90% แต่ผิวยังรู้สึกสาก ๆ อยู่ และคันอยู่บ้าง
มองภายนอกดูไม่ค่อยออกละว่าผิวมีปัญหา แต่ถ้าจับดูหน้าจะสากมาก


****


โหมดครีมบำรุง
เหมาะสำหรับคนที่ไม่อุดตันง่าย เป็นสิวนิดหน่อย ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย ๆ หน้าแดง บางคนอาจจะขึ้นเป็นผดเม็ดเล็กๆ คล้ายๆ สิวผด
คนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์แล้วต้องการใช้โหมครีมบำรุงนะครับ
มีให้เลือก 4 ตัว ตัวที่ 5 เป็นตัวเสริมครับ คือ
1. ฟิซิโอ เอไอ ครีม สำหรับผิวแห้งมาก
หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
2. Eucerin Soothing Face Cream 12% Omega
หาซื้อได้เฉพาะ รพ.เท่านั้น
3. Ezerra ครีมลดผื่นเด็กหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
4. ** ปิโตเลี่ยมเจล วาสลีน (ตัวเสริม) เคลือบผิวให้ผิวซ่อมตัวเองได้ไวขึ้น
หาซื้อได้ตามร้านขายยา / เซเว่น / วัตสัน ทุกที่
ของที่ต้องเตรียมคือ
1. น้ำเกลือล้างแผล ซื้อได้ตามร้านขายยา
2. ครีมบำรุงเลือกมา 1 ตัว(แล้วแต่ว่าจะใช้ของอะไร) ถ้าแห้งมากจะใช้วาสลีนมาช่วยเสริมก็ได้  
3. พลูจีนอล ขององค์การเภสัช (ไว้สำหรับผิวช่วงแรกที่จะคันมาก ๆ ตัวนี้ลดคันได้ดี) ทาเฉพาะเวลาคัน ไม่คันไม่ต้องทา
หาซื้อได้ที่ บูธ Curmin, Maxvalu บางสาขา หรือร้านขายยาบางร้านครับ
กรุงเทพฯมีที่ จามจุรีสแควร์ บันไดเลื่อนด้าน MK ชั้น 2 , ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ชั้น B ด้านเซ็นทรัล, เดอะมอลล์ บากะปิ ชั้น 2 Beauty Zone , โลตัส ลาดพร้าว ชั้น 2 หน้าบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 3, ศุนย์การค้าเซ็นจูรี่ ชั้น 2 , โรงพยาบาลตำรวจ, รพ.รามา โรงพยาบาลบางปะกอก 9, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระปิ่นเกล้า, โลตัสประชาชื่น, Maxvalu ใน Index. สาขาบางใหญ่, บูธ Curmin ที่เมกะบางนา
4. กันแดด มีให้เลือก 2 แบบ
– ถ้าผิวไม่อุดตัน แนะนำให้ใช้ สมูทอี Smooth E Physical SunScreen SPF 52 (Non Chemical Sunscreen)
– ถ้าผิวอุดตันง่าย ใช้บีโอเร่ตัวนี้ครับ บางเบาดี Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+  PA+++

วิธีใช้
น้ำเกลือ กับครีมบำรุง
1. ใช้สำลีแผ่นชุบน้ำเกลือเช็ดหน้า หรือจะเอามาโป๊ะมาร์คหน้าทิ้งไว้เลยก็ได้ 5-10 นาที แล้วเช็ดออกเบาๆ เช้าเย็น
2. หลังจากเช็ดน้ำเกลือแล้ว ตอนเช้าทาพลูจีนอล (หากคัน) ครีมที่เลือกและกันแดด   
3. กลางคืน หลังจากเช็ดหรือมาร์คน้ำเกลือเสร็จ รอหน้าแห้ง ทาพลูจีนอลหากคัน+ครีมที่เลือก+วาสลีน    
****
หลังจากนั้นก็รอให้ผิวซ่อมตัวเอง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนว่าถูกทำลายมาแค่ไหน และดูแลตัวเองดีแค่ไหน
ถ้าผิวซ่อมเร็ว 2-4 อาทิตย์ ผิวซ่อมช้า 1-3 เดือน ผิวซ่อมช้ามาก 3-6 เดือน
ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้น ลอกแห้งน้อยลง คันน้อยลง บางคนดีได้ถึง 90%
ช่วงแรกพอมันดีขึ้น อาจมีการเห่อซ้ำ 2-3 ครั้ง ทุก 3 อาทิตย์ ไม่ต้องตกใจครับ เพราะผิวจำเป็นต้องสร้างชั้นผิวใหม่
จะเห่อไม่เยอะ และไม่นานเท่าครั้งแรก ๆ
หลังจากที่ผิวดีขึ้น 70-90% แต่ผิวยังรู้สึกสาก ๆ อยู่ และคันอยู่บ้าง
มองภายนอกดูไม่ค่อยออกละว่าผิวมีปัญหา แต่ถ้าจับดูหน้าจะสากมาก

****



โหมดครีมบำรุง + น้ำมัน
เหมาะสำหรับคนที่ไม่อุดตัน  ไม่เป็นสิว ผิวแห้งตึงมากๆ ลอกเป็นขุย ๆ หน้าแดงมาก
คนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์แล้วต้องการใช้โหมครีมบำรุง+น้ำมัน นะครับ
มีให้เลือก 2 น้ำมัน คือ
1. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
2. น้ำมันมะกอกบีบเย็น ต้องเขียนว่า Virgin Olive Oil ด้วยนะครับ

มีครีมให้เลือก 4 ตัว  คือ
1. ฟิซิโอ เอไอ ครีม สำหรับผิวแห้งมาก
หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
2. Eucerin Soothing Face Cream 12% Omega
หาซื้อได้เฉพาะ รพ.เท่านั้น
3. Ezerra ครีมลดผื่นเด็ก
หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือรพ.ทั่วไป
ของที่ต้องเตรียมคือ
1. น้ำเกลือล้างแผล ซื้อได้ตามร้านขายยา
2. ครีมบำรุง+น้ำมันเลือกมาอย่างละ 1 ตัว(แล้วแต่ว่าจะใช้ของอะไร)
3. พลูจีนอล ขององค์การเภสัช (ไว้สำหรับผิวช่วงแรกที่จะคันมาก ๆ ตัวนี้ลดคันได้ดี) ทาเฉพาะเวลาคัน ไม่คันไม่ต้องทา
หาซื้อได้ที่ บูธ Curmin, Maxvalu บางสาขา หรือร้านขายยาบางร้านครับ
กรุงเทพฯมีที่ จามจุรีสแควร์ บันไดเลื่อนด้าน MK ชั้น 2 , ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ชั้น B ด้านเซ็นทรัล, เดอะมอลล์ บากะปิ ชั้น 2 Beauty Zone , โลตัส ลาดพร้าว ชั้น 2 หน้าบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 3, ศุนย์การค้าเซ็นจูรี่ ชั้น 2 , โรงพยาบาลตำรวจ, รพ.รามา โรงพยาบาลบางปะกอก 9, โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระปิ่นเกล้า, โลตัสประชาชื่น, Maxvalu ใน Index. สาขาบางใหญ่, บูธ Curmin ที่เมกะบางนา
4. กันแดด มีให้เลือก 2 แบบ
– ถ้าผิวไม่อุดตัน แนะนำให้ใช้ สมูทอี Smooth E Physical SunScreen SPF 52 (Non Chemical Sunscreen)
– ถ้าผิวอุดตันง่าย ใช้บีโอเร่ตัวนี้ครับ บางเบาดี Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+  PA+++

วิธีใช้
น้ำเกลือ กับครีมบำรุง +น้ำมัน
1. ใช้สำลีแผ่นชุบน้ำเกลือเช็ดหน้า หรือจะเอามาโป๊ะมาร์คหน้าทิ้งไว้เลยก็ได้ 5-10 นาที แล้วเช็ดออกเบาๆ เช้าเย็น
2. หลังจากเช็ดน้ำเกลือแล้ว ตอนเช้าทาพลูจีนอล (หากคัน) ครีมที่เลือกและกันแดด   
3. กลางคืนหลังจากเช็ดหรือมาร์คน้ำเกลือเสร็จ รอหน้าแห้ง ทาพลูจีนอลหากคัน ทิ้งไว้ 30 นาทีให้ยาทำงาน  พรมน้ำที่หน้านิดหน่อยลงน้ำมันที่เลือกไม่ต้องเยอะมากทาบาง ๆ  แล้วก็นอน    
****
หลังจากนั้นก็รอให้ผิวซ่อมตัวเอง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนว่าถูกทำลายมาแค่ไหน และดูแลตัวเองดีแค่ไหน
ถ้าผิวซ่อมเร็ว 2-4 อาทิตย์ ผิวซ่อมช้า 1-3 เดือน ผิวซ่อมช้ามาก 3-6 เดือน
ผิวจะค่อย ๆ ดีขึ้น ลอกแห้งน้อยลง คันน้อยลง บางคนดีได้ถึง 90%
ช่วงแรกพอมันดีขึ้น อาจมีการเห่อซ้ำ 2-3 ครั้ง ทุก 3 อาทิตย์ ไม่ต้องตกใจครับ เพราะผิวจำเป็นต้องสร้างชั้นผิวใหม่
จะเห่อไม่เยอะ และไม่นานเท่าครั้งแรก ๆ
หลังจากที่ผิวดีขึ้น 70-90% แต่ผิวยังรู้สึกสาก ๆ อยู่ และคันอยู่บ้าง
มองภายนอกดูไม่ค่อยออกละว่าผิวมีปัญหา แต่ถ้าจับดูหน้าจะสากมาก

****



โหมดมาร์คหน้าด้วยว่านหางจระเข้สด

อันนี้สำหรับคนที่ชอบมาร์คหน้านะคับ ถ้าอยากมาร์คหน้าจริง ๆ ก็แนะนำว่านหาง และน้ำผึ้งนะคับ
 
 คุณหนิงเป็นคนหนึ่งที่ใช้วิธีนี้แล้วได้ผลเลยมาบอกต่อ
ขอบคุณคุณหนิงสำหรับรูปครับ



 วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
หมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

ประโยชน์
1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคี โม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

หมายเหตุ ระวังแพ้ว่านหางจระเข้ด้วยสำหรับบางคน


 โหมดมาร์คหน้าด้วยน้ำผึ้ง
อันนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงจากเมืองนอกคับว่า น้ำผึ้งช่วยให้ผิวแห้งเสียมาก ชุ่มชื่นขึ้น และหายได้ครับ
แต่ไม่เหมาะกับคนที่แพ้น้ำผึ้งนะครับ
และน้ำผึ้งที่ใช้ต้องเป็น Raw honey เท่านั้นนะครับ ไม่ใช่พวก Pure honey หรือ Honey 
หรือ Honey 100% ที่ไม่ผ่านความร้อนครับ น้ำผึ้งป่าก็ได้คับ
ขั้นตอนคือ
1. ใช้น้ำผึ้งดิบผสมกับน้ำดื่ม(ไม่มีคลอรีน) อัตราส่วนน้ำผึ้ง 9 ส่วน : น้ำดื่ม 1 ส่วน มาร์สหน้าครับ 
ทำวันเว้นวัน ครั้งละ 3 ชม. หลังจากนั้นก็ล้างหน้าออก แล้วจะทาครีม หรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้ครับ
ประมาณ 1 เดือน ผิวจะแห้งลอกน้อยลงครับ  

***** อีกประเด็นที่ตกไปคือ ผิวช่วงนี้จะบอบบางมากเป็นพิเศษ ฉะนั้น จะทำให้ติดเชื้อยีสต์หรือเชื้อราได้ง่าย หากช่วงแรกดีขึ้นแล้วมีอาการตีกลับ แล้วนานเป็นเดือน ๆ ไม่ดีขึั้นสักที ผื่นแดงเป็นวง ๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ขอบแดง ก็ให้สงสัยว่ามีเชื้อราปะปนด้วย
ให้หาไนโซรัลครีมมาทา เพราะเค้าจะมีคีโตโคนาโซล มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยีสต์ เชื้อรา ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวอักเสบ คัน แดง ไม่หายและลุกลามได้
หรือถ้าช่วงแรกที่หยุดยาแล้วทำตามข้างต้นเป็นเดือน ๆ แล้วไม่ดีขึ้น ก็ให้ลองหาซื้อมาทาได้เลยครับ อาจมีเชื้อยีสต์ เชื้อราเป็นสาเหตุของผื่นได้ครับ

 เอารูปผลิตภัณฑ์มาให้ดู จะได้หาซื้อได้ง่าย ๆ 

ไนโซรัลครีม
** ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เองนะคับ 
ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น
เพราะทานาน ๆ จะทำให้ผิวอ่อนแอ
และอาจจะทำให้ราดื้อยาได้
หากเป็นเชื้อราจริง ควรหาสาเหตุ หรือต้นตอของรา**





เจลล้างหน้า ฟิสิโอ


 ตัวล้างหน้า เซตาฟิล









ตัวล้างหน้า COS


  
ฟิสิโอ เอไอ ครีม

 
น้ำเกลือ


พลูจีนอล


systral cream





 น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น


  น้ำมันมะกอกสกัดเย็น Virgin Olive Oil




กันแดด

 น้ำผึ้งแท้ 100%


ปิโตเลี่ยมเจล


เจลว่านหางจระเข้


 Hada Labo ขวดขาว






เรื่องหนังหัว ที่คัน และรังแคมาก
เท่าที่รู้ มี 3 ประเด็นนะ มากกว่านี้ไม่รู้ละ ไม่ใช่หมอ
ประเด็นแรก ราขึ้นหัว พวกนี้ใช้ยาสระที่มีตัวยาฆ่าเชื้อราอย่างคีโต เช่นพวกไนโซรัลก็ช่วยให้ดีขึ้นได้
ประเด็นสอง ไม่ใช่รา แต่แห้งมาก มากจนคันและร่วน ลอกเป็นแผ่นๆ ใหญ่ พวกนี้อาจเกิดจากชอบเปลี่ยนยาสระบ่อยๆ โดนเคมีจากยาสระแรงๆ ทำให้หนังหัวลอก แห้ง ร่วน ใช้เซลซั่นก็ช่วยได้
ประเด็นสุดท้าย แพ้ยาสระผม ยาสระผมสมัยนี้แรงครับ ใช้สระทุกวันอาจทำให้หนังหัวแพ้ได้ เปลี่ยนใช้แชมพูเด็กก็จะดีขึ้น
เวลาสระเงยหน้า อย่าให้แชมพูลงหน้า ไม่ว่าแชมพูอัไรก็ตาม เพราะหน้าเราแพ้ง่าย
สรุป ทุกวันนี้ฉินใช้ยาสระเด็กทุกวัน นานๆ หากคันหัวก็เซลซั่นทีก็หาย ใช้แชมพูเด็กแรกๆ อาจรู้สึกไม่สะอาด ผมเหนียวๆ แต่พอใช้สักพัก ผมและหนังศรีษะ เริ่มปรับสภาพได้ ผมนุ่มลื่น ไปตัดผม ช่างถามว่าใช้แชมพูอะไรคะ ทำไมผมนุ่มจัง


 


ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/pages/No-Sebderm/463320630422857

วิตามิน Vitamin ที่คนเป็นเซ็บเดิร์ม (Sebderm) และคนเป็นสิวแบบฉินทาน

        จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่า คนที่เป็นเซ็บเดิร์ม (Sebderm) มานาน แล้วรักษาแบบผิดวิธี คือทายาสเตียรอยด์ หรือทายาแก้สิวด้วย ยิ่งทำให้หน้าบาง และคลอลาเจนใต้ผิวลดลง ส่งผลให้ผิวไม่แข็งแรง โดนแดด โดนลมนิดหน่อยก็แดง คัน นอกจากผัก ผลไม้ที่เราต้องทานเป็นประจำทุกวันแล้ว วิตามินก็ช่วยให้ผิวเราแข็งแรงขึ้น ต่อสู้กับเชื้อยีสต์ที่มันมารุกรานหน้าเราได้

     วิตามินที่คนเป็นเซ็บเดิร์ม (Sebderm) และคนเป็นสิวควรทานคือ
1.  Pro biotic ปกติร่างกายเราจะมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ด้วยวิถีการดำรงชีวิตทำให้มีปริมาณไม่สมดุลย์หรือมีปริมาณลดลง ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้แก่ การกินยาปฏิชีวนะ การกินยาแก้ปวดบ่อยๆ กินอาหารที่มีไขมันสูงน้ำตาลและโปรตีนสูง หรือกินอาหารไม่สมดุลย์ การดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ความเครียดหรือความวิตกกังวล เป็นต้น 
     โปรไบโอติก (Probiotic) จะช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคโดยกลไกหลั่งสารหลายชนิดออกมาต่อต้าน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็น อันตรายเหล่านั้น โปรไบโอติก ที่เจริญเติบโตจะไปแย่งที่กันมิให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ และมิให้เกาะติดผนังลำไส้ทำอันตรายผนังลำไส้ และถูกขับออกทางอุจจาระ

2.  Vitamin C 
    
วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
ประโยชน์ ของ วิตามินซี

  • วิตามินซีเป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
  • ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
  • พิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  • การรักษาด้วยการฉีดวิตามินซีปริมาณสูง ในผู้ป่วยมะเร็ง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ เนื่องจากวิตามินจะเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
  • ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
  • บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น

แหล่งวิตามินซี
แหล่ง วิตามินซี มีมากในผักตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก แต่เนื่องจากความร้อนสามารถทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซี
ข้อแนะนำ การรับประทานวิตามินซี
ในสภาวะปกติปริมาณวิตามินซี ที่ร่างกายควรได้รับ คือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูล อิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซีได้เป็นอย่างดี
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 – 18,000 มิลลิกรัม

3.  กลูต้าไธโอน  กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังนำมารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง ผลข้างเคียงทำให้ผิวขาว

4.  Alpha Lipoic Acid Alpha Lipoic Acid หรือ ALA เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ครอบจักรวาล  ร่างกายสามารถสร้างได้เอง พบมากที่ตับ,เนื้อเยื่ออื่นๆและอาหารบางชนิดเช่น บร็อกโคลี่ ผักขม เครื่องในสัตว์ ยีสต์ มะเขือเทศ แต่ไม่มากพอที่จะใช้เพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(ชะลอความเสื่อมของเซลล์) บางประเทศอนุมัติให้เป็นยารักษาโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบา หวาน (คนที่เป็นเบาหวานนานเกิน 5 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการชาปลายมือปลายเท้า เฉพาะบริเวณข้อมือหรือข้อเท้าเท่านั้น ) โรคตับอักเสบ เช่น ประเทศเยอรมัน แต่ในอเมริกาและญี่ปุ่น จัดเป็นอาหารเสริม
มีประโยชน์อย่างไร
     1.กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนในการย่อยเผา ผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงมีส่วนช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น
     2.กรดอัลฟ่าไลโปอิก มี Sulfurเป็นองค์ประกอบ ช่วยทำให้ผิวสะอาด รวมถึงลดอาการบวมแดงจากสิวได้อีกด้วย
     3.กรดอัลฟ่าไลโปอิก ช่วยลดขนาดของรูขุมขน จึงทำให้ต่อมไขมันทำงานได้น้อยลง รูขุมขนจึงกระชับขึ้น
     4.ใน อเมริกาและสวีเดน กรดอัลฟ่าไลโปอิก ความเข้มข้น 5% นิยมนำมาผสมในครีมลดริ้วรอยเพื่อช่วยลดริ้วรอยลึกจากการทำลายของแสงแดดได้ อย่างดีเยี่ยม จากคุณสมบัติ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
     5.ใบหน้าขาว สว่างใส จากการที่กรดอัลฟ่าไลโปอิกดึงกลูต้าไธโอน กลับมาในฟอร์มที่ใช้งานได้อีก ถ้างั้น ก็ไม่ต้องกินอาหารเสริม กลูต้าไธโอน ได้สินะเพราะมีโมเลกุลใหญ่มาก กลืนลงไปกระเพาะย่อยหมดไม่เหลือซาก คนจึงนิยมฉีดเข้ากระแสเลือด งัยค่ะ
     6.ลดอาการปวดไมเกรน
     7.ปัองกันโรคหัวใจและหลอดเลือด     

ซิงค์ (สังกะสี) แร่ธาตุทีสำคัญต่อการทำงานของเอ็นไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย และหน้าที่สำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย
ซิงค์ (สังกะสี) แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ไม่สามารถขาด ได้ พบมากในผม เล็บ อัณฑะ กระดูก กล้ามเนื้อและ ตับ เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ชนิด เพื่อช่วยให้ร่างกายทำหน้าที่ได้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน การสมานแผล และประโยชน์อื่น ๆ ต่อร่างกายอีกมากมาย

แหล่งอาหารที่สำคัญของสังกะสี: หอยนางรม เนื้อสัตว์ อาหารทะเล จมูกถั่วเหลือง ไข่แดง ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ

นานาประโยชน์จากซิงค์ (แร่ธาตุสังกะสี)

     1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จากการศึกษาพบว่าแร่ธาตุสังกะสีช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด ที-เซลล์ (T-Cell) สำหรับการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

     2. บรรเทาอาการหวัด

จากการศึกษาพบว่า คนไข้ที่ได้รับยาอมที่มีแร่ธาตุสังกะสีเป็นส่วนผสม สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหวัดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบ เทียบกับกลุ่มคนไข้ที่ไม่ได้รับ

     3. รักษาสิว

แร่ธาตุสังกะสีมีส่วนช่วยในการผลิตฮอร์โมนมากกว่า 200 ชนิดในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล รวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ฮอร์โมนที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว ซึ่งแร่ธาตุสังกะสีจะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการรักษาสมดุลของการผลิต ฮอร์โมนชนิดนี้ รวมถึงการควบคุมการผลิตน้ำมันบริเวณต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังให้เป็นปกติ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันของสังกะสีจึง สามารถต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

     4. ผู้ที่ต้องการมีบุตร

แร่ธาตุสังกะสีจำเป็นต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมสเทสโทสเตอโรน ซึ่งจะไปมีผลต่อการเพิ่มจำนวนและความแข็งแรงของสเปิร์ม ดังนั้นสังกะสีจึงจัดว่าเป็นแร่ธาตุที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีอาการต่อมลูกหมากโต เมื่อได้รับแร่ธาตุสังกะสีจะพบว่ามีขนาดของต่อมลูกหมากลดลง

     5. การสมานแผล

สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในการทำหน้าที่สมานแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลบริเวณผิวด้านนอก หรือแผลภายในเช่นที่ผิวหนังหรือที่กระเพาะอาหาร จากการทดลองพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหารเมื่อได้ รับแร่ธาตุสังกะสีเสริมแผลจะหายเร็วกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับ

5.  Astaxanthin แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ / ตระกูลแคโรทีนอยด์ (Xanthophyll group / Carotenoid family) พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้งปูและ Microalgae Haematococcus Pluvialis ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมีแอสตาแซนธิน เพียง 1 มิลลิกรัม 

     สารสกัดจากชาเชียว EGCG (Green Tea Extract) และ OPCs จากเมล็ดองุ่นนั้น มีฤทธิ์ต้านแก่ได้ดีที่สุดในโลก แต่ล่าสุดมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหักล้างแล้วครับ นั่นคือ สารที่มีชื่อว่า แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เพราะเป็นสารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่า วิตามิน ซี 6,000 เท่า, CoQ10 800 เท่า, วิตามิน อี 550 เท่า, Green tea catechins 550 เท่า, Alpha lipoic acid 75 เท่า, เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่าตามลำดับ

ประโยชน์ของสารแอสตาแซนธิน
นอกจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆดังนี้
● ช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและจุดด่างดำ
● ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการเมื่อยล้าของสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์
● ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย
● ช่วยดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร
● ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก

6.  Fish Oil แหล่ง น้ำมันปลาในธรรมชาติที่ดีที่สุด คือ ปลาทะเล หอยนางรมแปซิฟิก และปลาหมึก ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า ซาบะ ซาร์ดีน เฮอร์ริ่ง แองโชวี่ ไวท์ฟิช บลูฟิช ชอคฟิช เทราท์ แมคเคอเรล เป็นต้น ปลาทะเลที่มีน้ำมันปลามาก คือ ปลาทู ปลาสำลี ปลารัง ปลากระพง เป็นต้น พบว่าปลาที่จับได้ในธรรมชาติจะมีปริมาณกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนปลาที่เลี้ยงในบ่อจะมีปริมาณของกรดโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ปัจจุบันน้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในการรับประทาน อย่างแพร่หลาย ส่วนน้ำมันตับปลาที่เรารู้จักกันดี สกัดจากตับของปลาทะเล เช่นปลาคอด แฮลิบัท เฮอร์ริ่ง มีสารสำคัญคือวิตามินเอ และดี

 ประโยชน์ของน้ำมันปลา

            ลด ระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด และเพิ่มระดับของเอชดีแอลโคเลสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันที่ดี น้ำมันปลาสามารถลดระดับของไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าน้ำมันข้าวโพดและน้ำมันดอกคำฝอยมาก ผู้ชายที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง เมื่อให้กินปลาประมาณ 18 ออนซ์ต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงและระดับเอชดีแอลโคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

            ป้องกัน การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นลิ่ม เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดความหนืดของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น

            ลดความดันโลหิต จากรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าอาหารที่ประกอบด้วยปลาหางแข็งหรือปลาทูซึ่งมี EPA ใน ปริมาณ 2.2 กรัมต่อวันสามารถลดความดันเลือดซิสโตลิกในคนไข้ที่มีโรคความดันผิดปกติทาง กรรมพันธุ์ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง และทำให้เกิดโรคหัวใจในขณะที่อายุยังน้อยอยู่ อาหารที่มีปลาหางแข็งหรือปลาทู ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นระดับกลับสูงขึ้นไปเหมือนเดิมอีก ในผู้ที่มีความดันเลือดสูงในระดับปานกลาง พบว่าอาหารที่มีปลาหางแข็งหรือปลาทูลดความดันซิสโตลิกลงได้เกือบร้อยละ 10 ระดับโซเดียมในเลือดลดลง และเรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สร้างในไตซึ่งมีผลมากต่อความดันเลือด นั้น ก็ทำงานได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 64 การศึกษาวิจัยในผู้ป่วยที่มีความดันเลือดสูงเล็กน้อย โดยให้กินน้ำมันปลาแคปซูลเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าความดันตัวบนหรือซิสโตลิกลดลงอย่างชัดเจน

     บรรเทาอาการอักเสบ ปวด บวมของโรคปวดข้ออักเสบรูมาตอยด์

     บำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ความจำและความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น

     ลดการอักเสบของโรคสะเก็ดเงินหรือโรคเรื้อนกวาง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดออกได้ง่ายห้ามทาน เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านเกร็ดเลือด หรือ แอสไพริน ผู้ที่มีเกร็ดเลือดต่ำ, มีจุดเลือดออกตามตัว, มีเส้นเลือดแตกในสมอง, เส้นเลือดแตกในจอตา จากโรคจอตาเสื่อมระยะสุดท้ายในเบาหวาน เป็นต้น ส่วนคนที่แพ้อาหารทะเล สามารถทานน้ำมันปลาได้ และมีความปลอดภัย

7.  Vitamin บีรวม

วิตามิน บี รวม คืออะไร?  วิตามิน บี รวม
 
เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ
ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน บี 1, บี 2, ไนอะซีน, แพนโทธีนิก แอซิด, บี 6, บี 12,
โฟลิก แอซิด, ไอโนซิทอล และโคลีน วิตามิน บี รวม
เหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพของผิว ผม สายตา ตับ และยังมี
ประโยชน์อย่างมากในการรักษาความผิดปกติของเส้นประสาท
ความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวันทำให้ ร่างกายต้องการวิตามิน บี มากยิ่งขึ้น
 วิตามิน บี 1 (ไธอะมีน) มีความจำเป็นในการสร้างสารสื่อสัญญาณประสาท
และมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบประสาท อาการรู้สึกสับสนเป็นอาการของการขาดวิตามิน บี1
 วิตามิน บี 2 (ไรไบฟลาวิน) ป้องกันการเกิดสิว และเป็นปัจจัยสำคัญของการหายใจระดับเซลล์ ช่วยในการมองเห็น ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม และ เล็บ
มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ 
วิตามิน บี 3 (ไนอะซิน) เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาทางชีวเคมีมากกว่า 50 ปฏิกิริยา ช่วยในการรักษาอาการเครียดและซึมเศร้า ช่วยเสริมการไหลเวียนของเลือด
 บรรเทาอาการปวดไมเกรน ผู้ที่รับประทานน้ำตาลทรายขาวมาก ๆ
จำเป็นต้องได้รับวิตามิน บี 3 มากเป็นพิเศษ 
วิตามิน บี 5 (แพนโทธีนิก แอซิด) เป็นสารที่พบอยู่ในเซลล์และมีความจำเป็นต่อปฏิกิริยาชีวเคมี ช่วยในการทำงานและการสร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไต
ในการบรรเทาอาการเครียด 
วิตามิน บี 6 (ไพริดอกซิน) มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง
ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ควบคุมสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
การย่อยอาหาร การดูดซึมของไขมันและโปรตีน การสร้างระบบภูมิต้านทานในร่างกาย 
วิตามิน บี 12 (ไซอะโนโคบาลามิน) มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเซล
ล์ต่าง ๆ ป้องกันการถูกทำลายของเส้นประสาท
ช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท 
โฟลิก แอซิด ทำงานร่วมกับวิตามิน บี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
บรรเทาอาการหมดแรง หงุดหงิดง่าย ปวดศรีษะ อาการหลงลืม บรรเทาอาการทางประสาท 
โคลีน ช่วยในการสร้างสารอะเซทิลโคลีน
ซึ่งเป็นสารสื่อสัญญาณประสาทที่สำคัญในสมองที่ใช้ในการเก็บความทรงจำ

 ไอโนซิทอล ช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีของไขมันทำให้ใช้ไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยในการเสริมอาหารให้แก่สมอง
ไบไอติน ช่วยในการสร้างพลังงาน การเจริญเติบโต และการสร้างกรดไขมันในร่างกาย
รับประทานอาหารอะไรจึงจะได้วิตามินบีข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง
ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู ตับ ถั่ว รำข้าว และยีสต์ เครื่องใน เช่น ตับ ไต (เซี่ยงจี๊) หัวใจวัว,
ไตวัว  น้ำนม นมเปรี้ยว (โยเกิร์ต)ผักใบเขียว และ ปลา, เนื้อกระต่าย, ไก่งวง, ไก่เนื้อ

 ปลาทูน่า   แป้งสาลี่ที่บดทั้งเมล็ด เมล็ดในดอกทานตะวัน, ถั่ว และยีสต์
วิตามิน บี
แม้จะพบมากในข้าว แต่ปัจจุบันข้าวที่เรารับประทานอยู่เป็นประจำมักเป็นข้าวที่ถูกขัด
 จนขาวไม่มีวิตามิน บี เหลืออยู่ ประกอบกับการรับประทานน้ำตาลทรายขาวเป็นประจำ 
จึงทำให้วิตามินบี ที่มีอยู่ในร่างกายถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นในวัยที่ต้องใช้สมองมากเป็นพิเศษจึงควรเอาใจใส่
ในเรื่องสุขภาพควบคู่ไปกับการศึกษา การรับประทานข้าวกล้อง
และน้ำตาลทรายที่ไม่ขัดสีจะช่วยเพิ่มวิตามินบีให้แก่ชีวิตประจำวันได้

 

8.  Vitamin E
      วิตามินอี คืออะไร?
      วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

  ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย       เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับ สารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย 

วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่       สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ 

วิตามินอีกับผิวพรรณ       สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้ เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้ เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์

      เอาแค่นี้ก่อนละกันเนอะ อยากจะฝากไว้นิด วิตามินจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดหากเราไม่ทานร่วมกับผัก ผลไม้ เพราะวิตามินมีฤทธิ์เป็นกรด ปกติทุกวันนี้เราทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทานเนื้อ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า อาหารพวกนี้ทำให้ร่างกายเราเป็นกรด เมื่อเราทานวิตามิน กรด กับ กรด มาเจอกันมันก็ไม่ดึงไปใช้ มีแต่จะขับออก 
     แต่หากเราทานผักเยอะ ๆ ร่างกายเราจะกลับมาเป็นด่าง เมื่อร่างกายเป็นด่างแล้วพอเราทานวิตามินเข้าไปมันจะดึงไปใช้อย่างเต็มที่ 
     การทานวิตามิน หากเราทานให้พอดี และพอเหมาะ จะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง แต่หากทานมากเกินไปจะเกิดโทษต่อร่างกาย ยังไงก็ทานน้ำเยอะ ๆ นะจ๊ะ

วิตามินกินเสริมได้ เพื่อช่วยให้สุขภาพสมดุลมากขึ้น
แต่ก็เคยบอกเสมอ ๆ ว่าต้องทานคู่กับผัก ผลไม้ 
และดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อให้ได้ผลเต็มที่ และไม่ตกค้าง
แต่รู้หรือเปล่าว่าการกินวิตามินผิดวิธีนอกจากจะไม่เกิดประโยชน
ยังอาจเกิดอันตรายได้
วิตามินที่ควรทานคู่กัน

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

วิตามินที่ไม่ควรทานคู่กัน

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้า ท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Google 
 

รักษาสิวง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

ประวัติการเป็นสิว
     เป็นสิวตั้งแต่อายุ 14 เรื่อยมา ช่วงแรก ๆ ยังไม่ไปหาหมอ เพราะคิดว่าเป็นแค่สิวเดี๋ยวก็หาย หลังจากนั้นก็เป็นเซ็บเดิร์ม ตามมาติด ๆ ในปีถัดมา ทำให้ต้องไปหาหมอโรคผิวหนัง ที่แรกที่ไปคือ รทว.คลินิก ที่นี่คุณหมอดี ให้ยาสเตียรอยด์มาทาแก้เซ็บเดิร์ม 3-7 วัน แล้วให้หยุด ส่วนสิวก็ให้ทายาแก้สิวพวก BP5% 7% แล้วแต่ ที่นี่จะดีอย่างคือไม่ให้ใช้โฟมล้างหน้า ให้ใช้น้ำเปล่า อะไรที่มันไม่จะเป็นก็ไม่ให้ ประหยัดให้คนไข้ แล้วก็มีพวกยาทาน ช่วงแรก ๆ กินประมาณ 1 เดือนก็สิวเริ่มหาย หลังจากสิวหายก็หยุดกิน ให้ทาแต่ยากันไว้ หลัง ๆ ก็ไม่ต้องหาหมอละ ซื้อยามาทาเองก็ได้ หามาประมาณ 3-4 ปี ก็เลิกหาเพราะเปลืองตังค์ แต่ช่วงที่หาก็สิวขึ้นบ้าง 3 เดือนขึ้นที ขึ้นทีก็กินยาที กินมาตลอด หาทีก็กินประมาณอาทิตย์นึง นานวันเข้าสิวเริ่มดื้อยา เลยหาซื้อยากินเอง ตามร้านขายยาทั้งยาแก้อักเสบ และแอคโนติน ยาแก้อักเสบชนิดรุนแรง ทานแล้วตัวจะแห้ง ปากแห้ง แห้งจนปากแตกเลือดออกเลย หลังจากนั้นก็ลองไปหาที่คลินิกน้องพร. อันนี้รู้สึกแย่มากเพราะเหมือนโดนหลอกวิธีการของเค้าง่าย ๆ
1. ดูหน้า
2. ส่งเข้าห้องแลป เป๊ะกระจกหาตัวไร
3. ส่องกล้อง อุ๊ยตาย ว๊ายกรี๊ดดดดด มีตัวไรด้วยค่ะคุณน้อง คุณน้องแพ้ตัวไรนะค่ะ ยังงี้ต้อง…
ให้ยามากินเป็นกำมือ รวมถึงแอคโนตินด้วย (มารู้ทีหลังว่าใคร ๆ ก็มีตัวไรอยู่ที่หน้าทั้งนั้นแหละ)
4. ถ้าอยากสิวหายเร็วหน่อยก็ ฉีด ฉีดๆๆๆๆๆ
หาทีก็หมดพันกว่า หลัง ๆ สองพันกว่า แถมสิวไม่หายด้วย หลัง ๆ เลยเลิกหา
หลังจากนั้นก็หาคุณนิติ. อันนี้หมอดี พนักงานก็ดี แต่ก็ยังไม่หาย
เลยไปหาคุณวุฒิ. อันนี้หมอแย่ มีแต่หมอกระเทย พูดจาก็ห้วน ๆ สเตปของหมอง่ายมาก
1. ดูหน้า
2. เอายาไปทา ให้ยาแก้อักเสบพร้อมแอคโนติน ที่เค้าให้ยาตัวนี้เพราะมันจะทำให้สิวหายเร็วสุด เห็นผลเร็วสุด และอันตรายกับร่างกายมากที่สุด แต่ใครจะสนใจละ ก็เราไปหาเค้าเองนิ อยากสิวหายก็ต้องแลกกับตับ ไต กระเพาะพัง

     หลังจากนั้นก็ไม่หาละ ตอนนั้นก็อายุประมาณ 29 ได้ครีมมาตัวนึง กลับบ้านที่ต่างจังหวัดมีคนข้างบ้านแนะนำชื่อครีมสมุนไพรสดกฤษ..อ้างว่าทำมาจากขมิ้น ใช้คู่กับครีมน้ำนม ใช้ตอนแรก สิวหายเกลี้ยง หน้าใสมากกกกก ขาวมากกกกกก หน้าดีเวอร์จนเพื่อนฝากซื้อเยอะมากกก เอามาขาย ขายดีมาก ไอ้เราก็นึกว่าของเค้าดีจริง ที่ไหนได้ พอใช้ไปได้ประมาณ 1 ปี สิวเริ่มกลัีบมา แต่ไม่เยอะมาก ขึ้นทีเม็ดใหญ่มากกก มีหลาย ๆ หัวในเม็ดเดียว แล้วเป็นนาน หลังจากนั้นก็เลิกทา พอดีมีน้องคนนึงแนะนำให้ใช้ของแอมเวย์ เราก็เลยลองแรก ๆ ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร หลังจากนั้นน้องเค้าก็เริ่มแนะนำให้ทานอาหารเสริมเริ่มจากโปรตีน อันนี้ทานได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวที่สองนิแหละ ที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน ดับเบิ้ลเอ็กซ์ และผลไม้รวม สิวขึ้นเต็มหน้า ขึ้นเยอะมากกกกกก ขึ้นไม่หยุด ขนาดหยุดทานแล้วก็ไม่หยุดขึ้น กลุ้มใจมากกกก ใครเห็นก็ทัก อายมาก จากหน้าใส ๆ เป็นสิวนิดหน่อย ขึ้นมาเต็มหน้าเลย เม็ดใหญ่ ๆ หัวช้างทั้งนั้นเลย เลยรู้ละว่าร่างกายเราผิดปกติแน่นอน เพราะถ้ากินวิตามินที่มันบำรุงเราจากภายใน เราต้องดีขึ้นสิ แต่นี่กลับแย่ลง ลองสักเกตุตัวเองดูคือถ่ายไม่ค่อยออก ถ่ายเป็นเม็ด กระเพาะติดเชื้อง่าย เลยเริ่มหาข้อมูลใน google เริ่มศึกษาด้วยตัวเองว่าคนอื่นมีแนวทางอย่างไรบ้าง เริ่มจาก เอาพารามาพอกหน้า อันนี้พอกได้ ทำให้หน้าแห้ง ไม่แพ้ แต่ไม่หาย
อันที่สองให้ซื้อดีเกลือฝรั่งมาทาน อันนี้หายากมากกก กรุงเทพหาไม่่ค่อยมี ต่างจังหวัดจะหาง่ายกว่ามาก อันนี้ฝากเพื่อนซื้อ ซื้อมากินครึ่งโล กินไปได้ไม่กี่ครั้งก็ต้องหยุดเพราะยังไม่หาย ที่เค้าว่ากินแล้วจะจู๊ด ๆ ก็ไม่ค่อยนะ
แล้วก็เค้าให้ลองทานขนมปังโฮลวีทแทน เค้าบอกว่าจะดีกว่าข้าวขาว แต่ก็ไม่หาย
ต่อมาก็เลยหาข้อมูลใหม่ เจอการรักษาแบบองค์รวมของคุณบีม อันนี้ช่วยได้เยอะเลย เริ่มจากส่งรูปให้เค้าดูก่อน


 

พอคุณบีมเห็นรูปก็ให้กรอบแบบสอบถามว่าในแต่ละวันทานอะไรบ้าง และก็ให้ปรับเปลี่ยนการทานใหม่หมดเลย โดยเริ่มจาก
เช้า…ให้ทานซีเรียล กะนมถั่วเหลือง หรือโอวัลติน 5 แกรนด์ก็ได้
เที่ยง…ผัดผักรวม, สุกี้น้ำไม่ใ่ส่ชูรส, แกงจืดผักรวม(คะน้า,ผักบุ้ง,บล็อคลอรี่, ขึ้นไฉ่, ผักกาด,)ผักอะไรก็ได้ที่มีฤทธิ์เย็น ช่วงบ่าย ๆ ประมาณบา่ย 3-4 ผลไม้ก็มี แตงโม สัปรด แอปเปิ้ล ปั่นรวมกันไม่ใส่น้ำหวาน
หรือจะซื้อสดมาทานก็ได้ ทานสลับกันก็ได้วันนี้ แตงโม พรุ่งนี้สัปรด อีกวันแอบเปิ้ล แน่นอน ผลไม้ก็ต้องเป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นด้วย ถ้าอยากรู้ว่าอะไรฤทธิ์เย็นต้องหาใน google ก็จะรู้ว่ามีอะไรบ้าง
เย็น…แกงจืดผักรวม(คะน้า,ผักบุ้ง,บล็อคลอรี่, ขึ้นไฉ่, ผักกาด,)
มาถึงตรงนี้ก็เข้าใจละว่า คนเป็นสิว ข้างในมันจะร้อน เลยต้องเอาผัก ผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าปลอบ เผื่อให้ข้างในหายร้อนแล้วสิวจะหาย แต่ก่อนสิวจะหายส่วนใหญ่จะเกิดปฏิกิริยาร่างกายขับพิษออกมา

 จะสังเกตุเห็นได้ว่าสิวจะขึ้นบริเวณคาง ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ตรงแก้ม หน้าผาก ซึ่งนั่นก็หมายถึง กระเพาะที่ไม่ดี ระบบการย่อยอาหารไม่ดี เลยนึกย้อนไปว่าสมัยก่อนเรากินอะไรบ้าง ถึงทำให้เรากระเพาะไม่ดี ก็ได้ถึงบ้างอ้อ
1. ที่บ้านขายข้าวมันไก่ กินทุกวัน น้ำมันในข้าวมันไก่จะไปเกาะผนังลำไส้ เวลาทานกับน้ำเย็น (น้ำเย็นหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเพราะมันจะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง) ดื่มน้ำธรรมดาแทน
2. ขายข้าวแล้วก็ต้องขายน้ำอัดลมด้วย ก็กินมันคุ่กันเลย น้ำเปล่าจะดื่มน้อยมากๆ
3. เวลาทานข้าวจะทานน้ำเยอะ ๆ เพราะจะชดเชยที่ทั้งวันไม่ค่อยได้กินน้ำ ทำให้กรดในกระเพาะมันเจือจาง ย่อยอาหารไม่ค่อยดี มารู้ทีหลังว่าก่อนทานอาหารครึ่งชั่วโมง ขณะทานข้าว หรือหลังทานแล้ว ไม่ควรดื่มน้ำเกิน ครึ่งแก้ว เพราะจะทำให้ระบบการย่อยอาหารไม่ดี
4. ทานยาแก้สิวมาตลอด ทำให้มันไปทำลายตับ ไต
5. ไม่ค่อยทานผลไม้ ทำให้ไม่มีกากใยที่จะไปล้างเมือกในลำไส้ และขาดวิตามินที่จะเข้าไปเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายเรา
6. ทานขนมขบเคี้ยวทุกวัน อันนี้เข้าใจ แต่ไม่มีประโยชน์ มีทั้งสารกันบูด น้ำตาล ผงชูรส
เออ พูดถึงน้ำตาลถ้าต้องการลดสิวให้ได้จิงจัง ต้องหยุดน้ำตาลไปเลย ทานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะร่ายกายเราได้รับน้ำตาลเพียงพออยู่แล้วในแต่ละวันจากข้าว หรือผลไม้ก็เพียงพอแล้ว
7. นอนดึก ก่อนนอนก็กินข้าว ขนม ของหวาน อันนี้ไม่ควร เพราะร่างกายเราต้องพักผ่อนตั้งแต่ 4 ทุ่ม เต็มที่ไม่ควรเกิน 5 ทุ่ม  
ช่วงเวลากลางคืน 3 ทุ่ม – 5 ทุ่ม : เป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย ( ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย) ช่วงเวลานี้ควรจะต้องถูกใช้ไปในการพักผ่อนหรือผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรี ถ้าหากช่วงเวลานี้แม่บ้านยังคงวุ่นอยู่กับงานบ้านเช่นล้างจานหรือดูและเด็ก ให้ทำการบ้าน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลลบต่อร่างกาย
ช่วงเวลากลางคืน 5 ทุ่ม – ตี 1 : กระบวนการกำจัดสารพิษในตับ และแน่นอนควรจะต้องอยู่ในช่วงการนอนหลับสนิท ในช่วงเช้าระหว่างเวลาตี 1 ถึง ตี 3 นั้น กระบวนการกำจัดสารพิษในน้ำดีก็ควรจะเป็นช่วงแห่งการนอนหลับสนิทเช่นกัน
ช่วงเวลาตี 1 – ตี 3 : การกำจัดสารพิษในปอด เพราะฉนั้นอาจจะมีอาการไออย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่มีปัญหาการไอในช่วงเวลาดัง กล่าว ตอนนี้กระบวนการกำจัดสารพิษจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว และก็ไม่จำเป็นที่คุณจะใช้ยาแก้ไอเพื่อที่จะได้ไม่ไปขัดขวางขั้นตอนการกำจัด สารพิษในร่างกาย
ช่วงเช้า ตี 5 – 7 โมงเช้า : การกำจัดสารพิษในปลายลำไส้ใหญ่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำให้พุงและลำไส้ของคุณว่างลง คือตื่นมาถ่ายนั้นเอง
หลังจากปฏิบัติตามที่ว่ามา ระบบขับถ่ายก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ตื่นมาถ่ายก่อน 7 โมงเช้าทุกวัน ช่วงแรกจะถ่ายเหม็นมากกก เพราะของเสียที่คั่งค้างเริ่มทยอยออกมา

ผลจากการกินยาแก้อักเสบทำให้ กระเพาะมีแต่เชื้อยีสต์ เนื่องจากกินยาแก้อักเสบสิวเยอะเกิน คือ ยาแก้อักเสบพวกนี้จะเข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายเรา เลยทำให้สิวเราหาย แต่…ผลข้างเคียงคือ แบคทีเรียที่ดีก็จะถูกทำลายไปด้วย ทำให้ร่างกายขาดแบคทีเรียที่ดีมาต่อสู้กับเชื้อโรค ไอ้เจ้าเชื้อยีสต์เลยกำเริบ สืบสาน รุกรานอาณาจักรเรา ทำให้เราเสียกรุงโดยไม่รู้ตัว 555+ เลยทำให้สิวขึ้นไม่หยุดวิธีแก้คือให้ทานโปรไบโอติก หรือแบคทีเรียที่ดี นั่นคือ ยาคูลย์ แต่ด้วยมันมีน้ำตาลเยอะ หากจะดื่มวันละ 2 ขวด ให้ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ

เมื่อเราทานผัก ผลไม้ได้เยอะพอแล้ว ให้เราหาวิตามินมาทานเสริมด้วยจะทำให้ร่างกายสมดุลยิ่งขึ้น
เขียนไว้ให้แล้ว ลองอ่านดูคับ
http://chinachinychin.blogspot.com/2013/02/vitamin.html
    

     มาถึงตรงนี้สิ่งที่อยากจะบอกคือ
1. อย่าทานยาแก้สิวเป็นเวลานาน ๆ ไม่ทานเลยได้ยิ่งดีเพราะมันจะไปทำลายกระเพาะ ตับ ไต
2. อย่าเที่ยวไปซื้อครีมตามตลาดนัด ครีมหน้าขาว ไม่มีอย. หรือบางทีที่มีอย.ก็ไม่รู้ซื้อมาหรือเปล่า เพราะพวกนี้จะมีสารปรอท และสเตอรอยด์ แรก ๆ ใช้แล้วหน้าจะดี แต่หลัง ๆ หน้าจะพัง เพราะสารปรอทจะไปทำลายเม็ดสีผิว นานวันเข้าจะหน้าเป็นด่าง ๆ ขาวเป็นดวง ๆ น่าเกลียด ส่วนสเตอรอยด์จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื้อ และคลอลาเจนใต้ผิว ทำให้รูขุมขนกว้าง เวลาเป็นสิวหน้าจะเป็นหลุมลึก เหมือนแผลที่ถูกฉีกออกจากกัน มันจะเป็นหลุมวงกว้างถึงจะไปยิงเลเซอร์ก็จะไม่ช่วยอะไร
     แนะนำให้ซื้อครีมในห้างตามเคาร์เตอร์แบร์น watson, boots, มีอย.แน่นอน แพงหน่อย แต่ปลอดภัยแน่นอน
3. ควรทานผัก ผลไม้แต่เด็ก มีคุณหมอท่านนึงเคยบอกไว้ว่าหากต้องการให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรค ควรทานผักวันละ 5 กำมือ (อันนี้ฟังดูอาจเยอะไป) แต่ถ้าทำไม่ได้ ในหนึ่งวันควรทานผักบ้างสักมื้อก็ยังดี และผลไม้อย่างน้อย ๆ แตงโม สัปรด แอปเปิ้ล กล้วย ฯลฯ ควรซื้อทานบ้าง ชิ้นละ 10 บาทเอง  บ้านเราเป็นเมืองที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ผลไม้มีทั้งปี โชคดีกว่าบางประเทศอีก
4. ดื่มน้ำสะอาด ๆ ให้มาก ๆ และควรดื่มตอนท้องว่าง ระหว่างวันให้ครบ 8 แก้ว ตื่นเช้ามาก็ซักไป 2 แก้ว ให้มันไปช่วยล้างพิษในร่างกาย หลังจากนั้นระหว่างวันก็จิบ ๆ เรื่อย ๆ เวลาทานข้าวก็พยายามอย่าดื่มน้ำให้เยอะเกิน น้ำอัดลม เลี่ยงได้ก็ดี ไม่เห็นมีประโยชน์ ทานน้ำผลไม้ยังดีกว่าอีก อร่อยเหมือนกัน
5. ฝึกหายใจ ควรหายใจเข้าลึก ๆ ให้สุดแบบเหมือนจะขาดใจ แล้วก็กลั้นไว้ แล้วก็ค่อย ๆ ผ่อนออกทางปากยาว ๆ ให้หมด จะเป็นการขับพิษทางปอดอีกวิธี วิธีนี้จะทำให้สมองโล่ง และอารมณ์ดีขึ้นด้วย
6. พักผ่อนให้เพียงพอ 5ทุ่ม-7โมงเช้า
     หวังว่ามันคงจะมีประโยชน์บ้างสำหรับคนที่รักสุขภาพและอยากกลับมามีสุขภาพผิวที่ดีอีกครั้ง
ตอนนี้ตัวฉินเอง (ชื่อฉินจ๊ะ) ก็สุขภาพดีขึ้นเยอะ และอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีแบบไม่ต้องหาหมอโดยทั่วหน้าจร้าาาา